ท่านชัยคฺมุนัจญิดได้กล่าวไว้ในคำบรรยายของท่านถึงความมหัศจรรย์ของอัลกุรอานที่ท้าทายพวกกาฟิรฺในเรื่องของการกำเนิดจักรวาลไว้ว่า
معجزة القرآن الخالدة
و آخر من كبار باحثيهم، درس القرآن دراسة متأنية، و مما لفت نظره أمور، مثل: أن القرآن الكريم فيه سورة باسم مريم، و ليست في نظره من المنتسبين إلى هذا الدين، بل إنها محسوبة على دين النصارى، و ليس في القرآن سور باسم خديجة أو فاطمة أو عائشة، من نساء هذا الدين فلماذا؟ ثم مر بقوله – تعالى :أَوَلَمْ يَرَ الَّذِينَ كَفَرُوا أَنَّ السَّمَاوَاتِ وَالْأَرْضَ كَانَتَا رَتْقًا فَفَتَقْنَاهُمَا وَجَعَلْنَا مِنَ الْمَاء كُلَّ شَيْءٍ حَيٍّ سورة الأنبياء:30فرأى أن هذا الخطاب للكفار (أَوَلَمْ يَرَ الَّذِينَ كَفَرُوا) الذين اكتشفوا نظرية أن السموات و الأرض كانتا كتلة واحدة ثم تم الانفصال، و هذا عين ما في القرآن أَوَلَمْ يَرَ الَّذِينَ كَفَرُوا أَنَّ السَّمَاوَاتِ وَالْأَرْضَ كَانَتَا رَتْقًا متصلتين (فَفَتَقْنَاهُمَا) فصلناهما وَجَعَلْنَا مِنَ الْمَاء كُلَّ شَيْءٍ حَيٍّ أَفَلَا يُؤْمِنُونَ سورة الأنبياء30، و هم يعرفون ذلك، كيف اهتدى إلى هذا رجل أمي عاش قبل ألف و أربعمائة سنة؟ إلا أن يكون هذا شيء جاء من الله.
“พวกกาฟิรฺ (ที่ได้ศึกษาอิสลาม) ได้พบอัลกุรอานที่ระบุไว้ว่า ‘พวกที่ปฏิเสธไม่เคยเห็นกันเลยหรือ ว่าบรรดาฟากฟ้าและแผ่นดินเคยติดกันมาก่อนแล้วเราก็ได้ทำการแยกมันออกจากกัน’ (ซูเราะฮ์อัลอันบิยาอฺ อายะฮ์ที่ ๓๐) เขา (คนกาฟิรฺ) ได้พบว่า คำดำรัสนี้ในอัลกุรอานเป็นการพูดกับพวกกาฟิรฺตามถ้อยคำที่ว่า
-พวกที่ปฏิเสธไม่เคยเห็นกันเลยหรือ-
ซึ่งพวกกาฟิรฺเหล่านั้นได้ค้นพบทฤษฎีหนึ่งขึ้นมาว่า ชั้นฟ้าและแผ่นดินเคยดำรงอยู่ในสภาพเป็นมวลสารเดียวกัน ต่อมาจึงได้เกิดการแยกตัวออกจากกันอย่างสมบูรณ์ขึ้น นี่คือสาระที่อยู่ในอัลกุรอานโดยตรงจากวรรคที่ว่า พวกที่ปฏิเสธไม่เคยเห็นกันเลยหรือ ว่าบรรดาฟากฟ้าและแผ่นดินเคยติดกันมาก่อนแล้ว หมายถึงชั้นฟ้าและแผ่นดินได้เคยเชื่อมติดกันแล้วพระองค์ก็ได้แยกมันทั้งสองออกจากกัน… ซึ่งพวกกาฟิรฺนั้นรู้ข้อเท็จจริงของสิ่งเหล่านี้
(คำถาม) สิ่งนี้ได้ถูกบอกกล่าวแก่ชายที่อ่านหนังสือไม่ได้ (คือท่านนบี) ได้อย่างไรตั้งพันสี่ร้อยกว่าปีมาแล้ว? เว้นเสียแต่ว่าอัลกุรอานนี้จะต้องเป็นสิ่งที่มาจากพระเจ้าเท่านั้น”
ที่มา : คลิก https://almunajjid.com/8627
จากคำพูดของชัยคฺมุนัจญิดข้างต้น ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ท่านถือว่าทฤษฎีที่อธิบายกำเนิดจักรวาลของพวกกาฟิรฺเป็นสิ่งที่สอดรับกับใจความของโองการนี้โดยตรง และท่านยังถือว่าการเปิดเผยข้อมูลของวิทยาการด้านจักรวาลของพวกกาฟิรฺเป็นสิ่งที่เข้ามาสนับสนุนความจริงที่อัลกุรอานบทนี้ระบุไว้ ซึ่งเป็นข้อชี้ชัดว่าอัลกุรอานที่ถูกประกาศโดยท่านนบีผู้อ่านไม่ออกเป็นวะฮีย์ที่มาจากพระเจ้า
คำพูดของชัยคฺข้างต้นระบุว่า พวกกาฟิรฺได้อธิบายว่า จักรวาลเคยดำรงอยู่ในสภาพที่เป็นมวลสารเดียวกัน (ฟ้าและแผ่นดินรวมอยู่ในนั้น) ต่อมาจึงได้แยกออกจากกัน ซึ่งคำอธิบายในทางจักรวาลเช่นนี้ก็คือบิกแบงนั่นเอง
ขอดักคอคน “ชอบแถ” หน่อยนะครับว่า อย่ามาอ้างลูกไม้ว่า ชัยคฺมุนัจญิดไม่ได้ใช้คำว่า บิกแบง ซึ่งคำอ้างแบบนี้ถือเป็นเรื่องไร้สาระ เพราะคำว่า “ทฤษฎี” ที่ระบุว่าจักรวาลเคยรวมติดกันเป็นมวลสารเดียวกันก็คือ คำอธิบายแบบบิกแบงนะครับ การที่เราบอกว่า ในทางชีววิทยามีทฤษฎีหนึ่งระบุว่า มนุษย์วิวัฒนาการมาจากวานรหรือลิง ต่อให้ไม่พูดตรงๆ ว่าทฤษฎี evolution ใครก็รู้กันว่าหมายถึงทฤษฎีวิวัฒนาการครับ
ส่วนคลิปบิกแบงอีกอันหนึ่งที่ท่านครูเอามาโพสต์แล้วสร้างข้อสรุปมั่วๆ ว่าชัยคฺมุนัจญิดปฏิเสธบิกแบงนั้นผมขอชี้แจงดังนี้
หนึ่ง ชัยคฺมุนัจญิดไม่ได้พูดปฏิเสธทฤษฎีนี้ในคลิปที่ท่านยกมา ท่านเพียงแต่พูดว่าพวกกาฟิรฺที่เชื่อทฤษฎีนี้มันไม่เชื่อว่ามีพระเจ้าเป็นผู้สร้างอยู่เบื้องหลัง แต่มันดันบอกว่าจักรวาลเกิดขึ้นเอง ซึ่งแกได้ถามพวกกาฟิรฺที่อธิบายแบบนี้ว่า มันจะเป็นไปได้อย่างไรที่ความบังเอิญและความว่างเปล่าจะกำเนิดเป็นจักรวาลขึ้นเองได้ ซึ่งวิธีการโต้แย้งแบบนี้ของชัยคฺเป็นวิธีการโต้แย้งแบบเดียวกันกับมุสลิมคนอื่นๆ ที่เชื่อในบิกแบง เพราะวิทยาศาสตร์ทุกชนิดถูกพวกปฏิเสธพระเจ้ายึดครองและอธิบายแบบตัดพระเจ้าออกจากเบื้องหลังกลไกธรรมชาติทั้งหมด ซึ่งเป็นคนละสิ่งกับที่มุสลิมได้นำทฤษฎีนี้ไปหักล้างเพื่อยืนยันว่ามันเป็นไปไม่ได้ว่าจักรวาลที่กำเนิดแบบบิกแบงจะเกิดขึ้นจากความบังเอิญไร้ผู้สร้าง ยิ่งไปกว่านั้นมันจำต้องมีผู้สร้าง
สอง ชัยคฺมุนัจญิดจึงถือว่า ส่วนของทฤษฎีนี้ที่อธิบายว่ามันกำเนิดแบบบังเอิญไร้ผู้สร้างเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกับกำเนิดจักรวาลในอัลกุรอานที่มีผู้สร้างมันเป็นขั้นตอนและตั้งใจสร้างจากพระเจ้า ไม่ใช่บังเอิญ
สาม การที่ชัยคฺใช้สำนวนว่า พวกปฏิเสธศาสนาหรือพระเจ้า เชื่อในทฤษฎีนี้ ไม่ได้แปลว่า ใครเชื่อทฤษฎีนี้จะเป็นผู้ปฏิเสธพระเจ้าหรือทฤษฎีนี้ขัดกับอิสลามโดยตัวเนื้อหา มันเหมือนเราพูดว่า “พวกปฏิเสธพระเจ้าในหมู่คนเป็นแพทย์ต่างเชื่อในคำอธิบายที่ว่าเชื้ออสุจิได้กลายมาเป็นต้นเชื้อที่กำเนิดชีวิตมนุษย์อันมีดีเอ็นเอซับซ้อน แต่พวกมันกลับบอกว่าสิ่งเหล่านี้เป็นความบังเอิญโดยไร้ผู้สร้าง” การพูดแบบนี้เป็นการโต้แย้งว่า มันต้องมีผู้สร้าง มันจะเกิดขึ้นเองไม่ได้ ไม่ใช่ไปสรุปมั่ว ๆ ว่า ใครเชื่อเรื่องอสุจิแบบที่ว่าไปเป็นผู้ปฏิเสธหรือมีแต่ผู้ปฏิเสธเชื่อกัน ซึ่งถือเป็นข้อสรุปที่มั่วนิ่ม
หวังว่าท่านครูนักแต่งกลอนจะรู้จักจับประเด็นให้ดีในการโต้แย้ง