หลังจากที่ได้โพสต์บทความที่พิสูจน์ว่าชัยคฺมุนัจญิดรับรองว่าบิกแบงมีความสอดล้องกับเนื้อหาในอัลกุรอานที่โพสต์นี้ (ตอนที่ 1)
ก็ปรากฏว่ามีคนบางคนออกมาแก้เกี้ยวแถไถ ตะแบง จะเอาชนะให้ได้ ซึ่งจะขอวิพากษ์เร็วๆ ดังนี้
มีคนกล่าวว่า
“เขาอ้างบทความอีกอันครับ ของเชคมุนัจญิดที่มีเนื้อหาประมาณว่าเห็นด้วยกะบิกแบง แต่ผมได้เข้าไปดูแล้ว พบว่ามันไม่ได้บ่งบอกว่าเชคมุนัจญิดเห็นด้วยกับบิกแบง แต่แกเล่าผ่านบทความแกว่าพวกกาฟิรฺอ่านศึกษากุรอานแล้วเอาบิกแบงไปโยงกับอัลกุรอาน แล้วพบว่ามีจุดที่สอดคล้องกัน ไม่ได้มีตรงไหนที่บอกว่าเชคมุนัจญิดเห็นด้วยเลย คนละกรณี แต่โดนเอามาโยงให้เข้ากับการแอบอ้างของกลุ่มตัวเอง”
นี่เป็นการแถที่น่าเกลียดที่สุด ด้วยเหตุผลประการต่อไปนี้
หนึ่ง ชัยคฺมุนัจญิดขึ้นต้นหัวข้อบรรยายของท่านมาด้วยหัวข้อว่า ความมหัศจรรย์ตลอดกาลของอัลกุรอาน معجزة القرآن الخالدة จากนั้นก็ยกเรื่องบิกแบงมากล่าวต่อ ถามว่าแบบนี้เชคมุนัจญิดยังไม่ได้รับรองอีกหรืออย่างไร แค่เล่าเฉยๆ หามิได้นี่คือการแก้ตัวที่น่าเวทนามาก
สอง หลังจากชัยคฺมุนัจญิดเล่าให้ฟังว่าพวกกาฟิรค้นพบบิกแบงแล้ว เชคก็ได้กล่าวว่า هذا عين ما في القرآن “และนี่คือสาระที่อยู่ในอัลกุรอาน” ถามว่าพูดแบบนี้ยังไม่รับรองอีกเหรอ
สาม หลังจากนั้นชัยคฺมุนัจญิดได้พูดปิดท้ายว่า
و هم يعرفون ذلك، كيف اهتدى إلى هذا رجل أمي عاش قبل ألف و أربعمائة سنة؟ إلا أن يكون هذا شيء جاء من الله..
“ซึ่งพวกกาฟิรฺนั้นรู้ข้อเท็จจริงของสิ่งเหล่านี้ (คำถาม) สิ่งนี้ได้ถูกบอกกล่าวแก่ชายที่อ่านหนังสือไม่ได้ (คือท่านนบี) ได้อย่างไรตั้งพันสี่ร้อยกว่าปีมาแล้ว ? เว้นเสียแต่ว่าอัลกุรอานนี้จะต้องเป็นสิ่งที่มาจากพระเจ้าเท่านั้น”
ท่านชัยคฺปิดท้ายเรื่องบิกแบงไว้ขนาดนี้ การเปิดเผยเรื่องบิกแบงมันพิสูจน์ว่าอัลกุรอานมาจากนบี พูดขนาดนี้ยังมีคนคิดไปได้ว่าชัยคฺเล่าเฉยๆ ไม่ได้เชื่อ
คนบางคนยังคัดค้านโดยกล่าวว่า
“และอีกประเด็นบทความนั้นมาก่อนหน้าบทความอีกอันที่แกด่าตัวทฤษฎีบิกแบงว่าเป็นกุฟรฺใหญ่(ที่มีผลทำให้ผู้ที่เชื่อหรือพูดและกระทำเช่นนั้นสิ้นสภาพจากการเป็นมุสลิม) เท่ากับว่าบทความที่ด่าบิกแบงมาหลังจากบทความที่เล่าถึงการยอมรับของกาฟิรฺต่อบิกแบง แสดงว่าบทความที่มาทีหลังคือตัดสินจุดยืนของแกได้ชัดเจนอีกทางหนึ่งครับ”
วิพากษ์: ท่านรู้ได้อย่างไรว่า ส่วนที่ท่านยกมาคืออันหลัง? ถ้าอ้างว่า บทความหลังมาตัดสินจุดยืนแก แสดงว่าบทความก่อนแกพูดขัดกับบทความหลัง การที่คุณใช้สำนวนแบบนี้แสดงจะบอกว่าชัยคฺพูดขัดกันเอง ชัยคฺเคยยอมรับกุฟรฺ!
แต่ถ้าคำพูดเชคทั้งก่อนและหลังไม่ได้ขัดแย้งกันแต่รวมได้ เราก็ได้แจงไปแล้วว่า ที่ชัยคฺตำหนิเรื่องบิกแบงนั้นไม่ใช่ส่วนของความสอดคล้องในลักษณะกำเนิดจักรวาลที่ตัวแนวคิดนี้อธิบาย แต่หมายถึงปรัชญาที่นักวิทยาศาสตร์ที่เชื่อในทฤษฎีนี้ยึดถือโดยตัดพระเจ้าออกไปจากการสร้างจักรวาลและสรุปเอาว่าจักรวาลเกิดขึ้นเอง
เราขอคัดลอกคำโต้แย้งก่อนหน้ามาให้อ่านกันใหม่อีกครั้ง
หนึ่ง ชัยคฺมุนัจญิดไม่ได้พูดปฏิเสธทฤษฎีนี้ในคลิปที่ท่านยกมา ท่านเพียงแต่พูดว่าพวกกาฟิรฺที่เชื่อทฤษฎีนี้มันไม่เชื่อว่ามีพระเจ้าเป็นผู้สร้างอยู่เบื้องหลัง แต่มันดันบอกว่าจักรวาลเกิดขึ้นเอง ซึ่งแกได้ถามพวกกาฟิรฺที่อธิบายแบบนี้ว่า มันจะเป็นไปได้อย่างไรที่ความบังเอิญและความว่างเปล่าจะกำเนิดเป็นจักรวาลขึ้นเองได้ ซึ่งวิธีการโต้แย้งแบบนี้ของชัยคฺเป็นวิธีการโต้แย้งแบบเดียวกันกับมุสลิมคนอื่นๆ ที่เชื่อในบิกแบง เพราะวิทยาศาสตร์ทุกชนิดถูกพวกปฏิเสธพระเจ้ายึดครองและอธิบายแบบตัดพระเจ้าออกจากเบื้องหลังกลไกธรรมชาติทั้งหมด ซึ่งเป็นคนละสิ่งกับที่มุสลิมได้นำทฤษฎีนี้ไปหักล้างเพื่อยืนยันว่ามันเป็นไปไม่ได้ว่าจักรวาลที่กำเนิดแบบบิกแบงจะเกิดขึ้นจากความบังเอิญไร้ผู้สร้าง ยิ่งไปกว่านั้นมันจำต้องมีผู้สร้าง
สอง ชัยคฺมุนัจญิดจึงถือว่า ส่วนของทฤษฎีนี้ที่อธิบายว่ามันกำเนิดแบบบังเอิญไร้ผู้สร้างเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกับกำเนิดจักรวาลในอัลกุรอานที่มีผู้สร้างมันเป็นขั้นตอนและตั้งใจสร้างจากพระเจ้า ไม่ใช่บังเอิญ
สาม การที่ชัยคฺใช้สำนวนว่า พวกปฏิเสธศาสนาหรือพระเจ้า เชื่อในทฤษฎีนี้ ไม่ได้แปลว่า ใครเชื่อทฤษฎีนี้จะเป็นผู้ปฏิเสธพระเจ้าหรือทฤษฎีนี้ขัดกับอิสลามโดยตัวเนื้อหา มันเหมือนเราพูดว่า “พวกปฏิเสธพระเจ้าในหมู่คนเป็นแพทย์ต่างเชื่อในคำอธิบายที่ว่าเชื้ออสุจิได้กลายมาเป็นต้นเชื้อที่กำเนิดชีวิตมนุษย์อันมีดีเอ็นเอซับซ้อน แต่พวกมันกลับบอกว่าสิ่งเหล่านี้เป็นความบังเอิญโดยไร้ผู้สร้าง” การพูดแบบนี้เป็นการโต้แย้งว่า มันต้องมีผู้สร้าง มันจะเกิดขึ้นเองไม่ได้ ไม่ใช่ไปสรุปมั่วๆ ว่า ใครเชื่อเรื่องอสุจิแบบที่ว่าไปเป็นผู้ปฏิเสธหรือมีแต่ผู้ปฏิเสธเชื่อกัน ซึ่งถือเป็นข้อสรุปที่มั่วนิ่ม
หลังจากแถเรื่องเนื้อหาของบิกแบงแล้ว เขายังได้อาศัยวิธีการอีกอันคือทำลายความน่าเชื่อถือของชัยคฺมุนัจญิดโดยกล่าวว่า
“อีกประเด็นอ้างว่าเป็นสะละฟีย์แต่ดันเอาทัศนะของนักวิชาการที่เอนเอียงไปทางอิควานมาใช้อ้างอิง ทั้งๆที่ต้องหาแหล่งอ้างอิงจากปราชญ์สะละฟีย์ที่น่าเชื่อถือโดยเฉพาะในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับอะกีดะฮฺและมันฮัจ”
วิพากษ์: สำหรับผมแล้ว เราไม่ได้ยอมรับในมาตรฐานของพวกท่านที่มองว่าชัยคฺมุนัจญิดเอียงไปทางอิควาน และเราก็ไม่ได้ยอมรับมาตรฐานของพวกท่านที่มองว่าจะต้องรับความรู้อ้างอิงเฉพาะปราชญ์สะละฟีย์ที่พวกท่านจะเอาเท่านั้น (ซึ่งท่านก็ไม่ได้บอกว่ามีใครกี่คนจะใช้อะไรจำแนกว่ารับได้ไม่ได้)
ลูกชายของชัยคฺอับดุลมุฮฺซิน อัลอับบาด ได้รายงานคำพูดของชัยคฺอับดุลมุฮฺซินที่พูดถึงชัยคฺมุนัจญิดไว้ว่า
كلامه جميل وهو من المشتغلين بالعلم ويستفاد منه
“คำสอนของเขาเป็นสิ่งที่สวยงาม และเขาคือผู้ที่สาละวนอยู่กับการหาความรู้และเขาจะต้องถูกรับประโยชน์ (หมายถึงให้รับความรู้จากเชคมุนัดญิดได้)”
ลูกชายชัยคฺอับบาดได้เล่าว่าเมื่อถามเชคอับบาดว่ามีคนพูดวิจารณ์ในทางลบกับชัยคฺมุนัจญิด ชัยคฺอับบาดเลยตอบว่า
اشتغل بالعلم واترك الكلام في أهل العلم.
“จงวุ่นอยู่กับการหาความรู้แทนเสีย และจงทิ้งการวิจารณ์อุละมาอ์”
คำพูดนี้ชี้ให้เห็นว่าชัยคฺอับบาดถือว่าชัยคฺมุนัจญิดเป็นที่กลับของความรู้ได้และยังเป็นผู้รู้
ที่มา: http://www.kulalsalafiyeen.com/vb/showthread.php?t=59158
ในทางกลับกันตัวท่านเองก็กลับหาฟัตวาตรงๆ ของอุละมาอ์สะละฟีย์ที่บอกว่าบิกแบงไปไม่ได้กลับอัลกุรอาน นอกจากฟัตวากันเอาเองวิเคราะห์โยงเอง
คนๆ นี้ยังพูดต่อไปอีกว่า
“พอหันไปยึดเชคตอยยารท่านก็ไม่ได้อนุญาตให้เอาบิกแบงไปตัฟซีรอัลกุรอานเพราะมันยังไม่ใช่ทฤษฎีที่ได้รับการรับรองแล้วว่าถูกต้อง พอดูท่าจะร่อแร่ ก็หันไปยึดอับดุลลอฮฺมุศลิหฺคนนี้ก็มีปัญหาโดนเชคตำหนิเรื่องโยงทฤษฎีกับอัลกุรอานโดยไม่ถูกวิธีอีก พอหันไปยึดซุเฮร ชาวีชก็ไม่ใช่สะละฟีย์แท้อีก ต่อไปไม่รู้จะเกาะยึดใครอีก”
วิพากษ์: เรื่องของชัยคฺตอยยารเขายกมาเพื่อจะบอกว่าชัยคฺตอยยารอนุญาตให้ใช้บิกแบงได้หากเงื่อนไขครบ ซึ่งถือว่าตบหน้าคนพูดเองที่ไปวางสูตรว่าบิกแบงเป็นกุฟรฺ เพราะในจุดยืนของพวกท่านบิกแบงไม่มีอะไรตรงกับอัลกุรอานได้เลยเป็นกุฟรฺ ซึ่งไม่เกี่ยวอะไรกับเงื่อนไขที่เชคตอยยารวางไว้
กรณีของชัยคฺตอยยาร ท่านพูดว่าถ้าบิกแบงเป็นความจริงวันใดแล้ว สามารถเอาไปใช้ตัฟซีรได้ ท่านพูดโดยวางกฏไว้ ซึ่งในขณะที่พูดตัวท่านมองว่าบิกแบงยังเป็นแค่ทฤษฎี สิ่งที่เราจะต้องเข้าใจคือจากคำพูดของชัยคฺตอยยารนั้นมีสองส่วน
ส่วนแรก คือกฎการตัฟซีร เป็นหน้าที่ของปราชอย่างชัยคฺที่จะกำหนดว่า ทฤษฎีต้องจริงถึงจะใช้ตัฟซีรได้ ซึ่งค้านกับ เด็ก ป.เอกบางคนที่ฟันหัวแต่ต้นแล้วว่าทฤษฎีเป็นกุฟรฺ จะตัฟซีรไม่ได้
ส่วนสอง ส่วนของการยืนยันว่าบิกแบงจริง อันนี้เป็นหน้าที่ของนักวิทยาศาสตร์ครับ ซึ่งหลายๆ ท่านอย่าง ดร.ซากิร ไนค์ได้อ้างคำพูดของสตีเฟน ฮอว์คิงที่ยืนยันว่าเรื่องบิกแบงได้รับการพิสูจน์แล้ว หรือนักวิทยาศาสตร์ที่ยืนยันว่าเรื่องจักรวาลขยายเป็นเรื่องจริงที่พิสูจน์ได้ถึงบิกแบงด้วย
ส่วนเรื่องชัยคฺซุเฮรกับเชคมัศละฮฺที่ดิสเครดิตมา ผมถามไปแล้วในบทความว่า ชัยคฺอัลบานีย์ที่ร่วมทำหนังสือกับชัยคฺซุเฮรในเล่มเดียวกันไม่ท้วงเลยหรือเรื่องบิกแบง หรือชัยคฺอับดุลมะลิกที่มอบหมายให้ชัยคฺซุเฮรจัดพิมก็เช่นเดียวกัน เรื่องชัยคฺซุเฮรสะละฟีย์แท้หรือไม่อีกเรื่องนึง
ส่วนเรื่องชัยคฺมัศละฮฺ ชัยคฺตอยยารวิจารณ์เรื่องอื่นไม่เกี่ยวกับบิกแบง อย่ายกมาเบี่ยงประเด็น
ส่วนข้อเขียนของอีกคนเขียนมาว่า
“เชคอัลมุนัจจิดที่พวกเขาบางคนเคยนิยม บอกทฤษฎีบิกแบงเป็นกุฟรที่ไม่มีกุฟุรใดๆหลังจากมันอีกแล้ว เป็นแนวของพวกปฏิเสธเตาหีดอัรรุบูบียะฮ์คือเชื่อจักรวาลนี้เกิดแบบบังเอิญ(ศุดฟะฮ์)ไม่มีผู้สร้าง. นี่ก็ต้องด่าเชคมุนัจจิดด้วยใหมแบบนี้”
วิพากษ์: ก็ถูกไงครับ คือมันเป็นกุฟรฺบนฐานที่เชื่อแบบพวกฝรั่งที่ระบุว่า มันเกิดขึ้นเองไร้ผู้สร้าง ไม่ใช่แค่บิกแบงครับ โรคภัยไข้เจ็บ ฝนฟ้าตก กรมอุตุ เวลากาฟิรมันอธิบายปรากฏการณ์นี้ มันก็กุฟรฺบนฐานที่ไม่เชื่อว่ามีพระเจ้า ไม่ใช่กุฟรฺบนตัวของขั้นตอนธรรมชาติ ที่กุฟรฺคือ การบอกว่าบิกแบงเกิดเองโดยไร้ผู้สร้าง ไม่ได้กุฟรฺตรงเชื่อตามบิกแบงว่าตอนกำเนิดจักรวาลทั้งหมดเป็นมวลเดียวกันและแยกออกด้วยอำนาจของพระเจ้า คนละเรื่องครับ ให้มันเข้าใจด้วย
ส่วนเรื่องที่ไปยกเครดิตจบ ปริญญาเอก ปริญญาโท อะไรมาคุยนั้น สำหรับผมแล้วไร้สาระ คนจบต่างประเทศภาษาดีใช่ว่าจะแถไม่ได้ แกนนำอิควานในไทยก็ภาษาอาหรับดีทั้งนั้นบางครั้งเป็นลูกครึ่งอาหรับ บางคนอยู่เรียนอาหรับตั้งแต่ประถม แต่เวลาแถก็แถครับ ไม่เกี่ยว!