อิมามนะวะวีย์ได้กล่าวว่า الخروج عليهم وقتالهم فحرام بإجماع “..การก่อกบฏกับบรรดาผู้ปกครอง และการสู้รบกับผู้ปกครอง (มุสลิม) เป็นที่ต้องห้ามตามมติเอกฉันท์..” ทว่ามีคนกล้าที่จะตีความคำพูดนี้ว่าหมายถึง “ห้ามเฉพาะเมื่อเกิดความเสียหายมากกว่า” ถือว่าใจกล้ามากที่เล่นพลิกแพลงกับหลักการศาสนาแบบนี้
โดยเขาอ้างว่า อิมามนะวะวีย์ได้พูดถึงสาเหตุที่ห้ามล้มผู้ปกครองไว้ในตอนท้าย เราลองมาดูคำพูดของอิมามนะวะวีย์กันก่อน โดยท่านได้กล่าวว่า
.
وأما الخروج عليهم وقتالهم فحرام بإجماع المسلمين ، وإن كانوا فسقة ظالمين .
وقد تظاهرت الأحاديث بمعنى ما ذكرته ، وأجمع أهل السنة أنه لا ينعزل السلطان بالفسق ، وأما الوجه المذكور في كتب الفقه لبعض أصحابنا أنه ينعزل ، وحكي عن المعتزلة أيضا ، فغلط من قائله ، مخالف للإجماع .
قال العلماء : وسبب عدم انعزاله وتحريم الخروج عليه ما يترتب على ذلك من الفتن ، وإراقة الدماء ، وفساد ذات البين ، فتكون المفسدة في عزله أكثر منها في بقائه
.
“และสำหรับการก่อกบฏกับบรรดาผู้ปกครองและการสู้รบกับผู้ปกครองนั้น ถือว่าเป็นที่ต้องห้ามตามมติเอกฉันท์ของบรรดามุสลิม แม้ว่าพวกผู้ปกครองจะเป็นบรรดาผู้อธรรมที่ชั่วช้าก็ตามที และบรรดาหะดีษต่าง ๆ ของท่านนบีได้แสดงให้เห็นถึงด้วยกับความหมายตามที่ข้าพเจ้าได้กล่าวไป
และอะฮฺลุซซุนนะฮฺนั้นได้เอกฉันท์กันว่าผู้นำจะไม่ถูกถอดถอนเพียงเพราะมีความฟาซิกในตัวเขา และสำหรับทัศนะที่ถูกกล่าวกันในตำราฟิกฮ์ทั้งหลายโดยบางส่วนจากนักวิชาการในมัสฮับชาฟิอีย์ว่าพวกเขาจะถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งนั้น ซึ่งทัศนะดังกล่าวยังถูกถ่ายทอดมาจากทัศนะของพวกมุอฺตะซิละฮฺเช่นกัน เช่นนั้นถือว่าเป็นความผิดพลาดที่มาจากผู้ที่กล่าวเช่นนั้นกัน และยังเป็นการค้านกับอิจมาอ์อีกด้วย
บรรดานักวิชาการได้กล่าวว่า สาเหตุที่ไม่มีการถอดถอนผู้นำแบบนี้ออกจากตำแหน่งและที่ห้ามการโค่นผู้นำแบบนี้ลงก็เพราะพิจารณาถึงสิ่งที่เกิดขึ้นติดตามมาจากการกระทำสิ่งดังกล่าว ไม่ว่าจะเรื่องฟิตนะฮฺ, การหลั่งเลือด, และความเสียหาย ซึ่งกลายเป็นว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นเนื่องจากการถอดถอนผู้นำนั้นมีมากกว่าการปล่อยให้ผู้นำดำรงตำแหน่งอยู่ต่อไป” (ชัรฮฺเศาะฮีฮฺมุสลิม 12/229)
ข้างต้นนี้เราจะเห็นว่าท่านอิมามนะวะวีย์ได้พูดถึงสาเหตุที่ห้ามล้มผู้นำมุสลิมใจความว่า “เนื่องจากจะนำไปสู่ความพินาศเสียหาย” ซึ่งมีคนได้เอาตรงนี้มาตีความว่า “มติเอกฉันท์ห้ามเฉพาะเมื่อเกิดความเสียหายมากกว่า ถ้าไม่เกิดความเสียหายมากกว่าก็โค่นล้มผู้นำมุสลิมได้”
ดังกล่าวนี้เราขอแย้งว่า การที่ท่านอิมามนะวะวีย์ได้พูดถึงสาเหตุของการห้ามล้มผู้นำมุสลิมนั้น ไม่ได้เป็นเงื่อนไขเลยว่าจะสามารถโค่นล้มได้ในกรณีที่คิดว่าไม่เกิดความเสียหาย
ประการแรก
คำว่า “สาเหตุ” เป็นคำที่ต้องแจกแจงรายละเอียด
1.สาเหตุที่เป็นเงื่อนไขเด็ดขาด
ถ้าสาเหตุตัวนี้มีอยู่ สิ่งที่เป็นเงื่อนไขกับสาเหตุนี้ก็ต้องมีอยู่เช่นกัน เช่น ชายที่ไม่ใช่มะฮ์รอม เป็นสาเหตุหนึ่งที่เป็นเงื่อนไขเด็ดขาดให้ผู้หญิงต้องสวมฮิญาบ ฉะนั้นถ้ามีคนที่ไม่ใช่มะฮ์รอมอยู่ตรงหน้า ฮิญาบก็ยังต้องสวมต่อไป
แต่ถ้าสาเหตุตัวนี้หายไป สิ่งที่เป็นเงื่อนไขกับสาเหตุตัวนี้ก็หลุดจากเงื่อนไขดังกล่าว เช่น หากชายหญิงคู่นั้นแต่งงานกัน ความไม่ใช่มะฮ์รอมจะหายไป นั่นคือ สาเหตุที่เป็นเงื่อนไขเด็ดขาดหายไปแล้ว การต้องสวมฮิญาบเมื่ออยู่ต่อหน้าจึงไม่จำเป็นอีกต่อไป เพราะสาเหตุที่ต้องใส่หายไปแล้ว
2.สาเหตุที่ไม่ใช่เงื่อนไขเด็ดขาด
สาเหตุตัวนี้เป็นเพียงเหตุผล หรือฮิกมะฮ์ ของสาเหตุที่เป็นเงื่อนไขเด็ดขาด เช่น อัลลอฮ์ได้กล่าวว่า
يَا أَيُّهَا النَّبِيُّ قُل لِّأَزْوَاجِكَ وَبَنَاتِكَ وَنِسَاءِ الْمُؤْمِنِينَ يُدْنِينَ عَلَيْهِنَّ مِن جَلَابِيبِهِنَّ ۚ ذَٰلِكَ أَدْنَىٰ أَن يُعْرَفْنَ فَلَا يُؤْذَيْنَ ۗ وَكَانَ اللَّهُ غَفُورًا رَّحِيمًا
“โอ้นะบีเอ๋ย ! จงกล่าวแก่บรรดาภริยาของเจ้า และบุตรสาวของเจ้า และบรรดาหญิงของบรรดาผู้ศรัทธา ให้พวกนางดึงเสื้อคลุมของพวกนางลงมาปิดตัวของพวกนาง นั่น เป็นการเหมาะสมกว่าที่นางจะเป็นที่รู้จัก *เพื่อที่พวกนางจะไม่ถูกรบกวน* และอัลลอฮฺทรงเป็นผู้อภัยผู้ทรงเมตตาเสมอ” (อัล อะฮ์ซาบ 33:59)
เราจะเห็นได้ว่าอัลลอฮ์พูดถึงสาเหตุในการสวมฮิญาบไว้ด้วยว่า “เพื่อที่พวกนางจะไม่ถูกรบกวน” ดังกล่าวนี้ คนที่หัวใจมีโรคลิเบอรัลก็จะติดตามโองการที่คุมเครือ เอาสาเหตุที่ไม่ใช่เงื่อนไขเด็ดขาดมาทำให้ดูเหมือนเป็นเงื่อนไขเด็ดขาด แล้วตีความว่า “เราไม่จำเป็นต้องสวมฮิญาบแล้ว เพราะสมัยนี้มีการรักษาความปลอดภัยที่ดี ฉะนั้นเร่าจึงไม่ถูกรบกวน สาเหตุที่ต้องใส่ฮิญาบจึงหายไป” พี่น้องคงเอะใจใช่มั้ยว่าคำพูดนี้เหมือนจะถูก แต่ที่จริงผิด เพราะยังไงเราก็ต้องใส่ฮิญาบต่อไปอยู่ดี
รู้มั้ยครับว่าทำไม? นั่นเพราะสาเหตุที่อัลลอฮ์พูดถึงนั้น เป็นเพียงสาเหตุในแง่ของเหตุผลหรือฮิกมะฮ์หนึ่งเท่านั้น ซึ่งทำหน้าที่แค่สนับสนุนสาเหตุที่เป็นเงื่อนไขเด็ดขาด เช่น อิจมาอ์ว่าต้องสวมฮิญาบ, อยู่ต่อหน้าชายที่ไม่ใช่มะฮ์รอม, อยู่ในวัยหรือสภาพที่ไม่ได้รับการผ่อนผัน ฯลฯ ฉะนั้นต่อให้ไม่มีสาเหตุที่คนรบกวน ก็ยังต่อสวมฮิญาบต่อไปตราบใดที่ยังมีสาเหตุที่เป็นเงื่อนไขเด็ดขาดให้สวมฮิญาบ
กลับมาที่เรื่องห้ามล้มผู้นำ อิมามนะวะวีย์ได้กล่าวชัดเจนว่า “อิจมาอ์(มติเอกฉันท์) และได้เสริมว่าสาเหตุเพราะมันจะนำไปสู่ความพินาศเสียหาย” คนที่หัวใจมีโรคอิควานก็จะติดตามโองการที่คุมเครือ เอาสาเหตุที่ไม่ใช่เงื่อนไขเด็ดขาดมาทำให้ดูเหมือนเป็นเงื่อนไขเด็ดขาด แล้วตีความว่า “เรื่องนี้มีมติเอกฉันท์ห้ามเฉพาะเมื่อเกิดความเสียหายมากกว่า ถ้าไม่เกิดความเสียหายมากกว่าก็โค่นล้มผู้นำมุสลิมได้ เพราะเหตุที่ห้ามล้มผู้นำมุสลิมได้หายไปแล้ว”
คำถามคือ “ท่านใช้อะไรตัดสินว่า สาเหตุในการห้ามล้มผู้นำมุสลิมที่อิมามนะวะวีย์กล่าวนั้น เป็นเงื่อนไขเด็ดขาดที่จะบ่งชี้ว่า อิมามนะวะวีย์หมายถึงให้โค่นล้มผู้นำมุสลิมได้ถ้าเกิดความเสียหายน้อย?” ฝาก อ.อิบรอฮีม สือแมตอบด้วยนะครับ
ประการที่สอง
ทั้งที่อิมามนะวะวีย์ได้กล่าวมายืดยาวในทำนองว่า “อิจมาอ์ฮะรอมจากบรรดามุสลิม จากบรรดาหะดีษต่างๆ และอะฮฺลุซซุนนะฮฺนั้นได้เอกฉันท์กัน” ยิ่งไปกว่านั้นยังกล่าวอีกว่า “ทัศนะที่ให้โค่นล้มผู้นำมุสลิมนั้นมาจากมุอฺตะซิละฮ์” ไปๆ มาๆ กลายเป็นว่า โค่นล้มได้ถ้าเสียหายน้อย! ท่านคิดอะไรอยู่?
การบอกว่าโค่นล้มผู้นำมุสลิมได้ถ้าเสียหายน้อย มันเป็นประเด็นใหญ่มากแล้ว ซึ่งโดยสามัญสำนึกมันเป็นขั้วตรงข้ามกับการพูดอิจมาอ์ ฉะนั้นถ้าอิมามนะวะวีย์จะบอกเช่นนั้นจริง มันต้องบอกชัดเจนกว่านี้ มันต้องกระหายที่จะไปหยิบคนโน้นทีคนนี้ที ที่มีทัศนะว่าโค่นล้มได้มาย้ำ เหมือนอาการที่คุณกำลังเป็นอยู่ แต่นี่อิมามนะวะวีย์พูดแต่อิจมาอ์มายืดยาวแท้ๆ คุณต่างหากที่มาตีความคำพูดอิมามนะวะวีย์เอาเอง จากเรื่องที่มันจำเป็นต้องใช้คำพูดชัด ไม่ต่างจากการตีความว่า “หมูกินได้ แม้อัลลอฮ์บอกว่าน่ารังเกียจ แต่ตอนนี้สามารถขจัดเชื้อโรคและเอาปรุงให้น่าทานได้แล้ว” ซึ่งเรื่องแบบนี้มันต้องเอาคำพูดชัด ไม่ใช่ทะเล่อทะล่าไปตีความอย่างนั้น
ดังกล่าวมานี้แสดงให้เห็นว่า การที่อิมามนะวะวีย์พูดถึงสาเหตุที่ห้ามล้มผู้นำมุสลิมที่ว่า “จะนำไปสู่ความเสียหาย” เป็นเพียงเหตุผลหรือฮิกมะฮ์ในการห้ามล้มผู้นำมุสลิม ซึ่งถูกอุละมาสะลัฟนำไปใช้พิจารณาจนสรุปออกมาเป็นอิจมาอ์ในที่สุด แต่เมื่อเกิดอิจมาอ์ขึ้นมาแล้ว ตัวตำราสะลัฟที่บรรจุอิจมาอ์นี่แหละคือสิ่งที่เป็นเงื่อนไขเด็ดขาดว่า เรื่องห้ามล้มผู้นำมุสลิมนั้นเป็นอิจมาอ์ฮะรอม สอดคล้องกับคำพูดของอิมามนะวะวีย์
ประการที่สาม
สำหรับเรานั้นถือว่าสิ่งที่เป็นเงื่อนไขเด็ดขาดในการยืนยันอิจมาอ์ห้ามล้มผู้นำมุสลิม คือ ตำราอะกีดะฮ์สะลัฟที่บรรจุเรื่องนี้ไว้เป็นอุซู้ลของศาสนา ซึ่งเรื่องหนึ่งเรื่องใดจะเป็นอุซู้ลของศาสนาไม่ได้ถ้ามันไม่ใช่อิจมาอ์ และอิมามอะฮ์หมัดจะไม่ตับดิอ์คนด้วยเรื่องใด เว้นแต่เรื่องนั้นจะเป็นอุซู้ลของศาสนา!!! ซึ่งเรารู้กันว่าอิมามอะฮ์หมัดตับดิอ์คนที่มีทัศนะอนุญาตให้ล้มผู้นำมุสลิม
ประการที่สี่
มีคนกล่าวในโพสต์ใจความว่า “อิหม่ามนะวะวีย์เป็นหนึ่งในอุละมาอฺที่มีความผิดพลาดในการอ้างอิจมาอฺ” เรื่องนี้เราไม่ได้เถียงอะไร แต่เรื่องอิจมาอฺห้ามโค่นล้มผู้นำ อิหม่ามนะวะวีย์อ้างอิจมาอ์ได้สอดคล้องกับตำราอุละมาอฺสลัฟ ฉะนั้นจึงเป็นนับเป็นสิ่งที่ใช้เสริมความหนักแน่นของอิจมาอ์ในเรื่องนี้เท่านั้น
ประการที่ห้า
การดูความเสียหายมากหรือน้อยในการโค่นล้มผู้นำนั้น มันเป็นเรื่องของผู้นำที่เป็นกาฟิร ไม่ใช่ผู้นำมุสลิม ในเรื่องนี้ ชัยคฺ มุหัมมัด นาศิรุดดีน อัลอัลบานียฺ เราะหิมะฮุลลอฮฺ ได้กล่าวว่า ผู้นำที่มาจากผู้ปฏิเสธศรัทธาไม่จัดอยู่ในผู้นำที่จะต้องตออัต แต่ วาญิบ ถ้าจะโค่นล้ม จำต้องเตรียมความพร้อมทั้งทางด้านอาวุธและการศรัทธา ตามหุก่มการญิฮาด (ต้องมีอะมีร ฯลฯ) มิเช่นนั้น จะเป็นการไปฆ่าตัวตาย หรือสร้างความเสียหายในวงกว้าง ดั่งที่ท่านอิบนฺ กอยยิม เราะหิมะฮุลลอฮฺ ได้อธิบายไว้ จำเป็นที่จะต้องแลกด้วยกับความเสียหายที่น้อยกว่าถึงน้อยที่สุด
ประการที่หก
การที่อิมามนะวะวีย์ บอกว่าเรื่องนี้เป็น อิจมาอฺ แล้วท่านก็ยกคำพูดของท่าน กอฎี อิยาฎ ที่บ่งชี้ถึงการมีคิลาฟ ไม่ได้หมายความว่า อิหม่ามนะวะวีย์อ้างอิงอิจมาอ์จากท่าน กอฎี อิยาฎ ในประเด็นที่ท่าน กอฎี อิยาฎ อนุญาติให้โค่นล้มผู้นำที่เปลี่ยนบทบัญญัติหรือมีบิดอะอฺได้ แต่ที่ท่านยกแบบนั้น เนื่องจากการนำเสนอทัศนะเท่านั้น เพราะคำพูดของท่านในตอนแรกเป็นที่ชัดเจนแล้ว ดังที่ได้อธิบายไปในตอนต้น
ประการที่เจ็ด
ทัศนะของท่าน กอฎี อิยาฎ ที่บ่งชี้ถึงการมีคิลาฟในเรื่องการห้ามล้มผู้นำมุสลิมนั้น เป็นทัศนะที่ค้านกับสะลัฟ ก็ไม่ต่างอะไรกับการที่ท่านมีทัศนะเรื่องซิฟัตค้านกับสะลัฟ ซึ่งเมื่อคอลัฟขัดแย้งกับสะลัฟ จำเป็นที่จะต้องทิ้งความเห็นของคอลัฟไป โดยเรื่องนี้ผมได้ชี้แจงไปแล้วตามบทความในลิ้งใต้โพสต์
นอกจากนี้ ท่านชัยคฺ อับดุลอะซีซ อัรรอยยิซ ฮะฟิเศาะฮุ้ลลลอฮ ยังได้ชี้แจงทัศนะของท่าน กอฎี อิยาฎ รอฮิมะฮุ้ลลอฮ ที่ถือว่าอนุญาติให้โค้นล้มผู้นำได้ ว่า
“และได้ (ชี้แจง) ผ่านมาแล้วว่า คำพูดนี้ค้านกับตัวบทหลักฐานต่างๆ และอิจมาอฺของอะลิสซุนนะห์ และจำเป็นที่เขาจะต้องตอบโต้และชี้แจงว่าเขาคนนั้นว่าได้ฝ่าฝืนอิจมาอฺของอะลิสซุนนะห์
และประเด็นนี้ถือเป็นหนึ่งในประเด็นที่แปลกประหลาดของท่านกอฎี อิยาฎ เหมือนดังเช่นประเด็นการที่ท่านได้ตีความคุณลักษณะการหัวเราะของอัลลอฮ คุณลักษณะการลงมาของอัลลอฮ คุณลักษณะแปลกใจของพระองค์ คุณลักษณะมือของพระองค์ และคุณลักษณะการอยู่ใกล้”
หนังสือ : “อัลอีมามะตุ้ล อุซมา ตะศีลาตุ อะลิสซุนนะห์ อัสสะละฟียีน วัรร็อดดุ อะลา มุคอลาฟาติ้ล มุคอลิฟีน” หน้าที่ 259
ซึ่งถ้าท่านจะยึดคำอธิบายบางอย่างของกอฎี อิยาฎ ที่ค้านสะลัฟเช่นนี้ ก็ขอให้ใช้มาตรฐานเดียวกับเรื่องซิฟัต เพื่อที่ผมจะได้รู้ว่าท่านไม่ได้เป็นอิควาน แต่เป็นอัชอารีย์
ท่านไม่สงสัยบ้างหรือว่าทำไมถึงหาความพอดียากนัก จะบอกว่าเรื่องห้ามล้มผู้นำไม่มีอิจมาอ์ ก็จะพลอยทำให้เรื่องมุตอะฮ์ เรื่องซิฟัต เรื่องกอฎอกอดัร และเรื่องอื่นๆ ในศาสนาพังไปด้วย ถ้าใช้มาตรฐานเดียวกัน
เพราะท่านก็พบว่ามีอุละมาคอลัฟบอกว่าเรื่องนี้มีคิลาฟ แต่ในขณะเดียวกันก็มีตำราสะลัฟบอกว่าเรื่องนี้เป็นอุซู้ล(อิจมาอ์) สิ่งที่ท่านทำก็คือ ได้แต่ไปคว้าอุละมาอ์รุ่นหลังคนโน้นที คนนี้ที ที่มีความเห็นตรงใจตัวเองมาค้าน เพื่ออ้างว่าเรื่องนี้ไม่มีอิจมาอ์ ซึ่งขอบอกเลยว่าท่านอาจจะสามารถไปหาคอลัฟมาได้เป็นร้อยเลยก็ได้ที่บอกว่ามีคิลาฟ แต่ท่านจะหาทางกลับไม่เจอ เพราะท่านเองก็ไม่อยากเหมือนอะชาอิเราะห์ทุกเรื่อง
ดังกล่าวนี้มันคืออาการเดียวกับที่อะชาอิเราะห์อธิบายเรื่องซีฟัต คือเมื่อพบว่าอุละมารุ่นหลัง(คอลัฟ) มีความเห็นขัดแย้งกับตำราอุละมารุ่นแรก(สะลัฟ) ก็ไม่ยอมทิ้งความเห็นของคอลัฟ เลือกที่จะทิ้งตำราสะลัฟไป บ้างก็โบ้ยว่าเป็นตำราสะลัฟปลอม แล้วไปหยิบอุละมาอ์รุ่นหลังคนโน้นที คนนี้ที ที่มีความเห็นตรงใจตัวเองมาค้าน เพื่ออ้างว่าสะลัฟตะอฺวีล สะลัฟตัฟวีฎ ฯลฯ
เรื่องล้มผู้นำก็เช่นเดียวกัน ฝ่ายอะฮ์ลิซซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ ได้อธิบายว่าเรื่อง “อิจมาอ์การห้ามล้มผู้นำมุสลิม” ได้ถูกบรรจุเป็นอุซู้ลอยู่ในตำราอุละมาอ์สะลัฟ ในขณะที่ฝ่ายอิควานบอกว่า มีอุละมาคอลัฟคนโน้น คนนี้ บอกว่าไม่มีอิจมาอ์
จะเห็นได้เลยว่า Method กระบวนการได้มาซึ่งความรู้สะลัฟของท่านนั้น ไม่ต่างอะไรกับอะชาอิเราะห์ กล่าวคือ ไม่ยอมทิ้งการสรุปอิจมาอ์ของคอลัฟที่ขัดแย้งกับสะลัฟ แต่ต่างกันตรงที่ อัชอารีย์นั้นเขาพร้อมจะบอกว่า ตำราสะลัฟปลอม พร้อมจะตีความสะลัฟโดยคำอธิบายของคนรุ่นหลังที่ไปสรุปสะลัฟผิด และที่สำคัญ! เขาพร้อมจะใช้มาตรฐานเดียวกันทุกเรื่อง มันเลยทำให้เละเกือบทั้งระบบ ทั้งเรื่องซิฟัต เรื่องกอฎอกอดัร เรื่องล้มผู้นำ ฯลฯ
ฉะนั้นพี่น้องต้องเข้าใจว่าสิ่งที่ อ.อิบรอเฮม สือแม ทำคืออ้างว่าจะเอาแนวทางสะลัฟ แต่กลับทำเป็นไม่สนใจตำราอะกีดะฮ์ มัวแต่ไปคว้าคอลัฟมาค้านสะลัฟแล้วทำเป็นสร้างภาพว่า “โต้ได้แล้ว ลูกศิษย์สบายใจได้นะ”
ในลิ้งนี้เป็นสิ่งที่จะทำให้เรารู้ว่า เมื่อเกิดปัญหาความขัดแย้งสับสนกันระหว่างอุละมาอ์ เราจะหาทางออกในเรื่องนี้ได้อย่างไร
แผนผังการตะอฺวีลคำพูดอิมามนะวะวีย์
เพื่อให้พี่น้องเข้าใจง่ายขึ้นว่า อ. อิบรอเฮม สือแม ทำอะไรกับคำพูดอิมามนะวะวีย์ (ร.)
อธิายเพิ่มเติม: “อิมามนะวะวีย์บอกเหตุผลว่าเสียหาย” คนละอย่างกับ “การล้มผู้นำมุสลิมมีเหตุผลเรื่องความเสียหาย” ในโพสนี้คือการเทียบเหตุผลการใส่ฮิญาบ กับ เหตุผลที่อิมามนะวะวีย์เสริม เป้าหมายเพื่อ จะได้รู้ว่าที่อิมามนะวะวีย์พูดหมายถึงอะไร ฉะนั้นอย่าอ้างว่า “คลุมฮิญาบไม่มีใครค้าน แต่ ล้มผู้นำมีคนค้าน” เพราะคำพูดนี้แสดงว่ากำลังเทียบเหตุผลการใส่ฮิญาบ กับ เหตุผลการห้ามล้มผู้นำ เป้าหมายเพื่อ จะได้รู้ว่าเรื่องการล้มผู้นำมีอิจมาอ์หรือไม่ ซึ่งถ้าเป็นอย่างนี้ต้องคุยกันว่า อะไรคือเงื่อนไขที่จะรู้ได้ว่าเรื่องใดเป็นอิจมาอ์ สำหรับเรานั้นถือว่าสิ่งที่เป็นเงื่อนไขเด็ดขาดในการยืนยันอิจมาอ์ห้ามล้มผู้นำมุสลิม คือ ตำราอะกีดะฮ์สะลัฟที่บรรจุเรื่องนี้ไว้เป็นอุซู้ลของศาสนา
คำถามที่ อ.อิบรอฮีม สือแมต้องตอบ
คำถาม1 อะไรคือเงื่อนไขเด็ดขาดที่ท่านจะตัดสินว่าสิ่งใดเป็นอิจมาอ์? (เพื่อจะได้รู้เกี่ยวกับอิจมาอ์)
คำถาม2 ท่านใช้อะไรตัดสินว่า สาเหตุในการห้ามล้มผู้นำมุสลิมที่อิมามนะวะวีย์กล่าวนั้น เป็นเงื่อนไขเด็ดขาดที่จะบ่งชี้ว่า อิมามนะวะวีย์หมายถึงให้โค่นล้มผู้นำมุสลิมได้ถ้าเกิดความเสียหายน้อย? (เพื่อจะได้รู้สิ่งที่อิมามนะวะวีย์พูด)
#ปล. แต่ในกรณีของการโค่นล้มผู้นำกาเฟร อันนี้ให้ดูหลักความเสียหาย ซึ่งเป็นคนละกรณีกับผู้นำมุสลิม ที่มีอิจมาอ์ห้ามล้มผู้นำมุสลิม จากตำราสะลัฟ