ตัวบท
[อ่านตอนที่แล้ว] ท่านชัยค์ได้กล่าวว่า: กฎข้อที่หนึ่ง การที่ท่านจะต้องรับรู้ว่าพวกบรรดากาฟิรที่ท่านเราะซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้ต่อสู้กับพวกเขานั้น ยอมรับว่าอัลลอฮ์ ผู้ทรงสูงส่ง คือ ผู้สร้าง ผู้บริหารกิจการ แต่การยอมรับดังกล่าวนั้นก็ไม่ได้ทำให้พวกเขาเข้าสู่อิสลามแต่อย่างใด ซึ่งหลักฐานก็คือ คำดำรัสของอัลลอฮ์ผู้ทรงสูงส่งที่ว่า
قُلْ مَن يَرْزُقُكُم مِّنَ السَّمَاءِ وَالْأَرْضِ أَمَّن يَمْلِكُ السَّمْعَ وَالْأَبْصَارَ وَمَن يُخْرِجُ الْحَيَّ مِنَ الْمَيِّتِ وَيُخْرِجُ الْمَيِّتَ مِنَ الْحَيِّ وَمَن يُدَبِّرُ الْأَمْرَ ۚ فَسَيَقُولُونَ اللَّـهُ ۚ فَقُلْ أَفَلَا تَتَّقُونَ
ความว่า: “จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ‘ใครเป็นผู้ประทานปัจจัยยังชีพทั้งที่มาจากฟากฟ้า และแผ่นดินแก่พวกท่าน หรือใครเป็นเจ้าของการได้ยินและการมอง และใครเป็นผู้นำสิ่งมีชีวิตออกมาจากสิ่งที่ไม่มีชีวิต และนำสิ่งที่ไม่มีชีวิตออกมาจากสิ่งมีชีวิต และใครเป็นผู้บริหารกิจการ’ แล้วพวกเขาจะกล่าวกันว่า ‘อัลลอฮ์’ ดังนั้นจงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ‘แล้วทำไมพวกท่านจึงไม่ยำเกรงกันอีก?’” [ซูเราะฮ์ยูนุส (10): 31]
คำอธิบาย
กฎข้อที่หนึ่ง: การที่ท่านรู้ว่าพวกบรรดากาฟิรที่ท่านเราะซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้ต่อสู้กับพวกเขานั้น ยอมรับในเตาฮีดอัรรุบูบียะฮ์ และทั้งที่เป็นเช่นนั้น การยอมรับของพวกเขาในเตาฮีดอัรรุบูบียะฮ์นั้น ก็ไม่ได้ทำให้เขาเข้าสู่อิสลาม และไม่ได้ทำให้เลือดเนื้อ และทรัพย์สินของเขาเป็นที่ต้องห้าม
มันบ่งบอกว่า เตาฮีดนั้น ไม่ได้หมายถึงการยอมรับในเรื่องอัรรุบูบียะฮ์เพียงเท่านั้น และบ่งบอกว่าชิรก์นั้นไม่ได้หมายถึงชิรก์ในเรื่องอัรรุบูรียะฮ์เท่านั้น ยิ่งกว่านั้นแล้ว กลับไม่มีสักคนที่ทำชิรก์ในเรื่องอัรรุบูบียะฮ์ นอกจากพวกแปลกประหลาดบางพวกจากบรรดาสิ่งถูกสร้าง (มนุษย์) เท่านั้น ซึ่งถ้าไม่นับรวมคนกลุ่มดังกล่าวนี้แล้ว ก็สามารถพูดได้ว่า ประชาชาติทั้งหลายทั้งมวล ต่างยอมรับในเตาฮีดอัรรุบูบียะฮ์กันทั้งหมด
และเตาฮีดอัรรุบูบียะฮ์นั้นคือ การยอมรับว่าอัลลอฮ์ คือผู้สร้าง ผู้ประทานปัจจัยยังชีพ ผู้ให้ชีวิต ผู้ให้ตาย ผู้บริหารการงานต่าง ๆ หรือกล่าวสั้น ๆ ได้ว่า เตาฮีดอัรรุบูบียะฮ์ ก็คือ การให้ความเป็นหนึ่งแด่อัลลอฮ์ ผู้สูงส่ง ในเรื่องการกระทำต่างๆ ของพระองค์ ผู้ทรงบริสุทธิ์ ผู้ทรงสูงส่ง
ฉะนั้นก็จะไม่มีใครสักคนในหมู่สิ่งถูกสร้าง (มนุษย์) ที่จะอ้างว่ามีบุคคลใดบุคคลนึงมาเป็นผู้สร้างสิ่งต่าง ๆ เคียงคู่กับอัลลอฮ์ หรือประทานปัจจัยยังชีพเคียงคู่กับอัลลอฮ์ หรือให้เห็น หรือให้ตาย แต่พวกบรรดามุชริกต่างยอมรับว่าอัลลอฮ์คือผู้สร้าง ผู้ประทานปัจจัยยังชีพ ผู้ให้เห็น ผู้ให้ตาย ผู้บริหารการงาน
وَلَئِن سَأَلْتَهُم مَّنْ خَلَقَ السَّمَاوَاتِ وَالْأَرْضَ لَيَقُولُنَّ اللَّـهُ
ความว่า: “และถ้าเจ้าถามพวกเขา ‘ใครเป็นผู้สร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน’ แน่นอนพวกเขาจะกล่าวว่า ‘อัลลอฮ์’” [ซูเราะฮ์ลุกมาน (31): 25]
قُلْ مَن رَّبُّ السَّمَاوَاتِ السَّبْعِ وَرَبُّ الْعَرْشِ الْعَظِيمِ ﴿٨٦﴾ سَيَقُولُونَ لِلَّـهِ ۚ قُلْ أَفَلَا تَتَّقُونَ
ความว่า: “จงกล่าวเถิด ใครคือพระเจ้าแห่งชั้นฟ้าทั้งเจ็ด และพระเจ้าแห่งบัลลังก์อัลยิ่งใหญ่ [86] พวกเขาจะกล่าวว่า ‘มันเป็นของอัลลอฮ์’ จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ถ้าเช่นนั้นพวกนั้นจะไม่ยำเกรง (การลงโทษ) พระองค์หรือ [87]” [ซูเราะฮ์อัลมุอ์มินูน (23): 86 – 87]
พวกท่านจงอ่านอายะฮฺต่าง ๆ ในส่วนท้ายของซูเราะฮ์อัลมุอ์มินูน พวกท่านก็จะพบว่าพวกบรรดามุชริกนั้นยอมรับในเตาฮีดอัรรุบูบียะฮ์ และเช่นเดียวกันในซูเราะฮ์ยูนุส
قُلْ مَن يَرْزُقُكُم مِّنَ السَّمَاءِ وَالْأَرْضِ أَمَّن يَمْلِكُ السَّمْعَ وَالْأَبْصَارَ وَمَن يُخْرِجُ الْحَيَّ مِنَ الْمَيِّتِ وَيُخْرِجُ الْمَيِّتَ مِنَ الْحَيِّ وَمَن يُدَبِّرُ الْأَمْرَ ۚ فَسَيَقُولُونَ اللَّـهُ
ความว่า: “จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ‘ใครเป็นผู้ประทานปัจจัยยังชีพทั้งที่มาจากฟากฟ้า และแผ่นดินแก่พวกท่าน หรือใครเป็นเจ้าของการได้ยินและการมอง และใครเป็นผู้นำสิ่งมีชีวิตออกมาจากสิ่งที่ไม่มีชีวิต และนำสิ่งที่ไม่มีชีวิตออกมาจากสิ่งมีชีวิต และใครเป็นผู้บริหารกิจการ’ แล้วพวกเขาจะกล่าวกันว่า ‘อัลลอฮ์’ …” [ซูเราะฮ์ยูนุส (10): 31]
พวกเขาต่างยอมรับสิ่งดังกล่าว
ด้วยเหตุนี้ เตาฮีด ไม่ใช่เพียงการยอมรับเตาฮีดอัรรุบูบียะฮ์อย่างเดียวเท่านั้น ดังเช่นที่พวกอุละมาอ์อัลกะลาม (พวกใช้ปัญญา) และพวกนักวิเคราะห์เกี่ยวกับหลักความเชื่อของพวกเขาได้กล่าวกันไว้ ทั้งนี้พวกเขาได้เข้ามากำหนดกรอบความเข้าใจไว้ว่าเตาฮีดนั้นคือการยอมรับว่าอัลลอฮ์ คือผู้สร้าง ผู้ประทานปัจจัยยังชีพ ผู้ให้เป็น ผู้ให้ตาย พวกเขาจึงได้กล่าวกันว่า “พระผู้ทรงเป็นหนึ่งในตัวตน (ซาต) ของพระองค์ ไม่มีส่วนแบ่งใดๆ สำหรับพระองค์ ทรงเป็นหนึ่งในคุณลักษณะต่างๆ ของพระองค์ ไม่มีผู้ใดเหมือนพระองค์ ทรงเป็นหนึ่งในการกระทำต่างๆ ของพระองค์ ไม่มีภาคีใดๆ สำหรับพระองค์” และนี่คือเตาฮีดอัรรุบูบียะฮ์
พวกท่านจงกลับไปดูในหนังสือเล่มใดก็ได้จากตำรับตำราของอุละมาอ์กะลาม แล้วพวกท่านก็จะพบว่าพวกเหล่านั้นไม่ได้หลุดออกไปจากเตาฮีดอัรรุบูบียะฮ์เลย (คือ อธิบายกันไปแต่ในความหมายนี้) ซึ่งนี่ไม่ใช่เตาฮีดที่อัลลอฮ์ทรงแต่งตั้งบรรดาศาสนฑูตเพื่อมัน และการยอมรับแต่เพียงสิ่งนี้อย่างเดียว ก็ไม่ยังประโยชน์ใดๆ กับผู้ที่ยอมรับมันเลย
เพราะสิ่งนี้พวกมุชริก และบรรดาผู้นำของพวกกาฟิรต่างยอมรับมันกันมาแล้ว ทว่าการยอมรับนั้นก็ไม่ได้ทำให้เขาออกจากกุฟร์และไม่ได้ทำให้เขาเข้าสู่อิสลาม ดังนั้นสิ่งนี้จึงเป็นความผิดพลาดอันใหญ่หลวง ดังนั้นใครก็ตามที่เชื่อเช่นนี้ เขาก็ไม่ได้มีความเชื่อที่ดีเด่นเพิ่มเติมมากไปกว่าความเชื่อของ อบูญะฮฺล์ หรืออบูละฮับแต่อย่างใดเลย
สิ่งที่บรรดาผู้มีวัฒนธรรมความเจริญบางส่วน ได้ดำรงอยู่ในขณะนี้ก็คือ การยอมรับในเตาฮีดอัรรุบูบียะฮ์แต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น และพวกเขาไม่ยอมกล่าวถึงเตาฮีดอัลอุลูฮียะฮ์เลย ซึ่งนี่เป็นความผิดพลาดอันใหญ่หลวงในการให้ความหมายเตาฮีด
ส่วนในเรื่องชิรก์นั้น พวกเขาจะกล่าวว่า “คือการที่ท่านยึดมั่นว่ามีใครคนอื่นที่ทำการสร้างเคียงคู่กับอัลลอฮ์ หรือประทานปัจจัยยังชีพเคียงคู่กับอัลลอฮ์” เราจะกล่าวว่า คำพูดนี้ ขนาดอบูญะฮฺล์ และอบูละฮับ มันยังไม่พูดเลย พวกมันไม่เคยกล่าวว่ามีผู้อื่นสร้างเคียงคู่กับอัลลอฮ์ และให้ปัจจัยยังชีพเคียงคู่กับอัลลอฮ์ ทว่าพวกเขาต่างยอมรับว่าอัลลอฮ์คือผู้สร้าง ผู้ประทานปัจจัยยังชีพ ผู้ให้เป็น ผู้ให้ตาย