กองบรรณาธิการเกริ่นนำ: (หลังจากที่มีการปล่อยบทความ ชัยคฺอัลบานีย์ ชัยคฺมะอฺริบีย์: ระหว่างแนวทางกับตัวบุคคุลของกลุ่มอิควานมุสลีมูน และบทความ ความผิดของกลุ่มและตัวคนในกลุ่ม ก็มีกระแสข่าวออกมาว่าทางสำนักพิมพ์อัซซาบิกูนมีการเปลี่ยนทัศนะแบบเนียน ๆ ว่ามีการแยกกันระหว่างการฮุกุ่มแนวทางกับตัวบทบุคคล ซึ่งที่จริงทางสำนักพิมพ์อัซซาบิกูนไม่ได้มีการเปลี่ยนทัศนะแต่อย่างใดทั้งสิ้น
บทความ ชัยคฺอัลบานีย์ ชัยคฺมะอฺริบีย์: ระหว่างแนวทางกับตัวบุคคุลของกลุ่มอิควานมุสลีมูน เขียนขึ้นครั้งแรกในช่วงเดือนตุลาคม 2013 (2556) ทัศนะในเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องพื้นฐานของนักวิชาการอิสลามที่จำเป็นต้องรู้ และบทความที่กำลังจะได้อ่าน เป็นบทความที่ถูกเขียนขึ้นโดยอาจารย์ชะรีฟ วงศ์เสงี่ยม อามีรสำนักพิมพ์อัซซาบิกูนที่ถูกตีพิมพ์รวมเล่มในหนังสือที่มีชื่อว่า สามด่าน กับการปกป้องต้นเองให้พ้นจากไฟนรก อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งที่พิมพ์ครั้งแรกในช่วงเดือน พฤษภาคม 2557 และบทความนี้ (หะดีษ 73 กลุ่มและอุศู้ล ตัวชี้วัดความหลงผิด) ก็เขียนขึ้นมาก่อนหน้านี้มาพอสมควรแล้ว
หากจะนับบทความ ด้วยรักและห่วงใย ที่ชัยคฺริฎอ อะห์มัด สะมะดี ออกโรงปกป้องแนวทางอิควานมุสลิมีนที่ลงวันที่ 25/07/2012 (2555) เป็นจุดอ้างอิง ก็นับว่าบทความชัยคฺอัลบานีย์ ชัยคฺมะอฺรีบีย์ ห่างกันประมาณ 1 ปีเศษ ไม่ต้องพูดถึงการเรียบเรียงความคิด ทัศนะ แล้วประมวลผลออกมาเป็นข้อเขียนออกมาว่าจะมีมาก่อนหน้านั้นมานานเพียงไร (อย่างที่ได้บอกไปตั้งแต่ตอนต้นว่าเรื่องการจำแนกแนวทางกับตัวบุคคลเป็นเรื่องพื้นฐานที่นักวิชาการต้องรู้และผู้ศึกษาทั่วไปก็ต้องรู้ด้วย) ที่แอดมินเพจเกริ่นก่อนเข้าก็เพื่อชี้แจงให้ทราบต่อบรรดาผู้ไม่เคยฟัง ไม่เคยอ่าน (เอาแต่มโน) ให้ได้รับรู้เอาไว้ เอาเป็นว่าเรามาเริ่มอ่านกันเลยดีกว่าครับ -แอดมินเพจวารสารเสียงสมัย)
มุสลิมจำนวนไม่น้อยที่รับรู้เป็นอย่างดีถึงหะดีษที่ท่านนบีมุฮัมมัดได้บอกให้เรารู้ว่า มุสลิมจะแตกเป็น 73 กลุ่ม โดยที่ 72 กลุ่มอยู่ในนรกและมีกลุ่มเดียวเท่านั้นที่รอดพ้น แต่เราจะต้องเข้าใจให้ดีก่อนว่าแนวทางของทั้ง 72 กลุ่มนั้นเป็นแนวทางที่นำไปสู่ไฟนรกแต่คนที่อยู่ในแนวทางนั้นจะต้องตกนรกหรือไม่นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
เช่น เราพูดว่าแนวทางชีอะฮ์เป็นแนวทางที่นำไปสู่นรกเพราะเป็นแนวทางกาเฟร แต่ก็ไม่ใช่เงื่อนว่าผู้ที่อยู่ในแนวทางชีอะฮ์ทุกคนจะต้องตกนรก ทั้งนี้ก็อาจจะเนื่องมาจากหลายๆสาเหตุ เช่น เขาอาจจะไม่รู้จริงๆว่าแนวทางชีอะฮ์เป็นแนวทางกาเฟร เพราะเกิดมาในครอบครัวชีอะฮ์โดยที่ยังไม่มีใครมาชี้แจงหลักฐานให้ได้รับรู้อย่างชัดเจน หรือยังไม่มีใครนำหลักฐานที่ชัดเจนตรงประเด็นมาหักล้างเพื่อพิสูจน์ว่าแนวทางชีอะฮ์นั้นเป็นแนวทางที่นำไปสู่นรกอย่างไรหรืออาจจะมีสาเหตุอื่นๆที่ทำให้พระองค์อัลลอฮ์ไม่เอาโทษเขาผู้นั้นถึงแม้ว่าเขาจะอยู่ในแนวทางชีอะฮ์อันเป็นแนวทางกาเฟรก็ตาม
ขอย้ำอีกครั้งว่า เราจะต้องแยกทั้งสองสิ่งให้ออกโดยจะต้องไม่มองเป็นสิ่งเดียวกัน นั่นก็คือ
1. แนวทางที่นำไปสู่ไฟนรก ซึ่งอาจจะเป็นแนวทางที่เป็นกาเฟรไปเลยก็ได้ เช่นแนวทางของกลุ่มชีอะฮ์ส่วนใหญ่หรืออาจจะเป็นแนวทางที่ยังเป็นมุสลิมอยู่แต่หลงผิด เช่น แนวทางของคอวาริจ มุอฺตะซีละฮ์ อะชาอิเราะฮ์ เป็นต้น
2. ตัวคนที่สังกัดอยู่ในแนวทางนั้น ๆ ซึ่งก็อย่างที่ได้บอกไปว่า ถึงแม้ว่าแนวทางนั้นๆจะเป็นแนวทางที่นำไปสู่นรกอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ผู้ที่อยู่ในแนวทางนั้นยังไม่จำเป็นว่าถ้าเขาตายไปแล้วเขาก็จะต้องตกนรก ทั้งนี้ก็อันเนื่องจากหลายๆสาเหตุตามที่ได้กล่าวไปข้างต้น แต่สำหรับผู้ที่ดื้อดึงทั้งๆที่หลักฐานที่ชัดเจนได้มาถึงเขาแล้วเช่นนั้นเขาผู้นั้นก็จะถูกตัดสินว่าเป็นมุสลิมผู้หลงผิดที่ออกนอกแนวทางอะฮ์ลุสสุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ ในกรณีที่ความผิดของเขายังไม่ถึงขั้นที่ทำให้เขาเป็นกาเฟร (สิ้นสภาพจากการเป็นมุสลิม) หรืออาจจะถูกตัดสินว่าได้สิ้นสภาพจากการเป็นมุสลิมในกรณีที่ความผิดของเขาถึงขั้นทำให้เขาเป็นกาเฟร
เราจะต้องเข้าใจเอาไว้ด้วยว่าหนึ่งในหลักการเชื่อมั่น (อุศู้ล) ของแนวทางของอะฮ์ลุสสุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ในเรื่องนรก-สวรรค์ก็คือ จะต้องไม่ตัดสินชี้ชัดแบบเจาะจงตัวว่าคนนั้นคนนี้เป็นชาวสวรรค์หรือเป็นชาวนรกนอกเสียจากบุคคลที่มีหลักฐานระบุชัดเจาะจงเอาไว้ว่าคนนั้นคนนี้เป็นชาวสวรรค์หรือชาวนรก
แต่คำถามมีอยู่ว่า “แล้วกาเฟรหรือพวกมุนาฟิกไม่เป็นชาวนรกอย่างนั้นหรือทั้งนี้ก็เพราะอัลลอฮ์ได้กล่าวเอาไว้มากมายในอัล-กุรอานว่าทั้ง กาเฟรและมุนาฟิกนั้นเป็นชาวนรกและจะอยู่ในนั้นตลอดกาลหรือเหมือนกับหะดีษที่เชื่อถือได้ที่ท่านนบีได้บอกเอาไว้ในทำนองว่าคริสต์หรือยิวคนใดที่รับรู้ถึงการมาของท่านนบีแล้วแต่ยังไม่มาศรัทธาก็จงเตรียมที่นั่งเอาไว้ในนรกได้ เราจะว่าอย่างไรและจะไม่เป็นการขัดกันอย่างนั้นหรือ”
คำตอบก็คือ ไม่ขัดกันอย่างแน่นอน ทั้งนี้ก็เพราะว่าที่พระองค์ อัลลอฮ์กล่าวเอาไว้ในอัล-กุรอานว่าทั้งกาเฟรและมุนาฟิกนั้นเป็นชาวนรกหรือที่ท่านนบีกล่าวเกี่ยวกับคริสต์และยิวเอาไว้นั้นเป็นการกล่าวแบบกว้างๆ เพราะฉะนั้นเมื่อเป็นเช่นนี้เราจึงพูดได้ว่าทั้งกาเฟรและมุนาฟิกนั้นเป็นชาวนรกแต่เราไม่อาจที่จะชี้ชัดเจาะจงตัวกาเฟรคนนั้นคนนี้ว่าเป็นชาวนรกได้นอกจากบุคคลที่มีหลักฐานชี้ชัดเจาะจงเอาไว้แล้วเท่านั้น เพราะฉะนั้นคำถามมีอยู่ว่า ลุงของท่านนบีนั่นคืออบูตอลิบเป็นชาวนรกหรือไม่ เพราะอะไร
คำตอบก็คือ เป็นชาวนรก เพราะ 1. เป็นกาเฟร และ 2. มีหลักฐานชี้ชัดเอาไว้จากหะดีษที่เชื่อถือได้ เมื่อเป็นเช่นนี้เราจึงสามารถกล่าวได้ว่ากาเฟรเป็นชาวนรกแต่ห้ามชี้หรือเจาะจงตัวว่าใครนอกจากจะมีหลักฐานยืนยันเอาไว้เท่านั้น เช่น ฟิรเอานฺ กอรูน ฮามาน อบูละฮับ
ในกรณีของบิดอะฮ์ก็เหมือนกัน เราสามารถพูดได้ว่าบิดอะฮ์นั้นนำไปสู่นรก โดยไม่จำเป็นต้องหมายความว่าเป็นการชี้ชัดแบบเจาะจงตัวว่าคนนั้นคนนี้ที่ทำบิดอะฮ์เป็นชาวนรก ยกตัวอย่างเช่น นาย ก. ทำบิดอะฮ์เตือนแล้วก็ไม่เชื่อยังคงทำอยู่ เราสามารถกล่าวได้ว่านาย ก. กระทำในสิ่งนั้นนำไปสู่นรก แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าการพูดเช่นนั้นจะเท่ากับเป็นการเจาะจงตัวว่านาย ก. เป็นชาวนรก หรือในกรณีหะดีษเรื่อง 72 กลุ่มที่กล่าวไปข้างต้นและจะได้กล่าวต่อไปอีกด้วย เราสามารถกล่าวได้ว่าเส้นทางหรือแนวทางของทั้ง 72 กลุ่มนั้นนำไปสู่ไฟนรก แต่เราจะต้องไม่กล่าวแบบเจาะจงตัวว่าคนนั้นคนนี้ที่อยู่ในแนวทางของทั้ง 72 กลุ่มนั้นเป็นชาวนรก
เหมือนกับที่ชาวสะลัฟโดยเฉพาะท่านอิมามอะห์มัดได้กล่าวว่า ใครก็ตามที่บอกว่าอัล-กุรอานถูกสร้าง (เป็นมัคโลค) ถือว่าเป็นกาเฟร แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า ใครก็ตามที่พูดเช่นนี้แล้วจะเป็นกาเฟรสิ้นสภาพจากการเป็นมุสลิมโดยทันทีที่เขาได้กล่าวเช่นนั้น หรือไม่ได้หมายความว่าเมื่อเราได้ยินใครพูดเช่นนั้นแล้ว (เช่น นาย ก. ) เราจะชี้ชัดแบบเจาะจงตัวเลยว่า นาย ก. เป็นกาเฟร …เปล่าเลย แต่คำพูดของอิมามอะห์มัดเป็นการพูดแบบกว้างๆ เหมือนเรื่องกาเฟรเป็นชาวนรกตามที่ได้กล่าวไปข้างต้น เพราะฉะนั้นการพูดแบบกว้างๆจึงไม่มีปัญหาแต่อย่างใดในกรณีที่มีหลักฐานว่ามีการกล่าวกว้างๆเช่นนั้น
ท่านอิมามอบูดาวูดได้กล่าวเอาไว้ในสุนัน (ตำราบันทึกหะดีษ) ของท่านภายใต้บทที่ใช้ชื่อว่า “อั้ล-อะดับ” (ความประพฤติที่ดีงาม)
รายงานจากท่านอบีฮุรอยเราะฮ์ได้กล่าวว่าท่านนบีได้กล่าวว่า
“ในหมู่ของชาวบนีอิสรออีลนั้นมีคนอยู่สองคนที่เป็นญาติกัน โดยคนหนึ่งเป็นคนที่ทำบาป ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นนักทำอิบาดะฮ์ เมื่อใดก็ตามที่ญาติคนที่เป็นนักทำอิบาดะฮ์ได้มาหาญาติอีกคนที่ทำบาป เขาก็จะบอกให้เขา (ญาติที่ทำบาป) ได้ออกห่างจากบาปนั้น อยู่มาวันหนึ่ง เมื่อเขา (ญาติที่เป็นคนบาป) ได้กระทำบาปอยู่ เขา (ญาติที่เป็นนักทำอิบาดะฮ์) จึงได้บอกเขาให้ยับยั้งตนเองจากการกระทำนั้น ญาติของเขาจึงได้พูดกับเขาไปว่า “จงปล่อยฉันกับพระผู้อภิบาลของฉัน ท่านเป็นผู้จัดการของฉันอย่างนั้นหรือ” เขา (ญาติที่เป็นนักทำอิบาดะฮ์) จึงได้พูดกับเขาว่า “ขอสาบานด้วยอัลลอฮฺ พระองค์จะไม่มีทางให้อภัยเจ้าและให้เจ้าได้เข้าสวรรค์” เมื่อทั้งสองได้ตายลง ทั้งสองได้ถูกนำมายังพระผู้เป็นเจ้า โดยพระองค์ได้กล่าวกับเขา (ญาติคนที่เป็นนักทำอิบาดะฮ์) ว่า “เจ้ารู้จักข้าหรือไม่ เจ้าเป็นผู้จัดการความโปรดปรานของข้าอย่างนั้นหรือ” จากนั้นพระองค์ก็หันไปยังผู้ที่ทำบาปและกล่าวกับเขาว่า “จงเข้าไปยังสวรรค์ เจ้าได้รับความเมตตาจากข้าแล้ว” ส่วนอีกคนหนึ่งพระองค์ได้สั่งให้นำตัวลงไปในไฟนรก ท่านอบูฮุรอยเราะฮ์ได้กล่าวเสริมว่า “ขอสาบานด้วยพระผู้ที่ชีวิตฉันอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ ญาติคนที่เป็นนักทำอิบาดะฮฺได้กล่าวสิ่งหนึ่งออกมาที่ทำลายชีวิตของเขาทั้งในโลกนี้และโลกหน้า””
จากหะดีษข้างต้นเราจะเห็นถึงความร้ายแรงของการเจาะจงตัดสินใครคนหนึ่งคนใดว่าเป็นชาวนรกโดยที่ไม่มีหลักฐานยืนยัน เพราะฉะนั้นขอกล่าวย้ำอีกครั้งว่า เราสามารถกล่าวแบบกว้างๆได้ว่า แนวทางของทั้ง 72 กลุ่มที่หลงผิดออกจากอะฮ์ลุสสุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์นั้นเป็นแนวทางแห่งไฟนรก และใครก็ตามที่ได้รับการตักเตือนด้วยหลักฐานพิสูจน์ที่ชัดเจนแล้วว่าเขากำลังอยู่ในแนวทางที่หลงผิดแต่ก็ยังดื้อดึงไม่กลับมาสู่ความจริง เช่นนั้นเขาผู้นั้นสามารถที่จะถูกตัดสินแบบเจาะจงตัวได้ว่า เขาเป็นผู้ที่หลงผิดออกจากแนวทางอะฮ์ลุสสุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ไปแล้วและได้ตกอยู่ 1 ใน 72 กลุ่มที่นำไปสู่ไฟนรก แต่ห้ามที่จะตัดสินแบบเจาะจงตัวว่าเขาเป็นชาวนรก
มาถึงตรงนี้ขอย้อนกลับไปที่ตอนต้นบทความนี้อีกครั้งที่บอกว่ามุสลิมจำนวนไม่น้อยที่รับรู้ เป็นอย่างดีถึงหะดีษที่ท่านนบีมุฮัมมัดได้บอกให้เรารู้ว่า มุสลิมจะแตกเป็น 73 กลุ่ม โดยที่ 72 กลุ่มอยู่ในนรกและมีกลุ่มเดียวเท่านั้นที่รอดพ้นปลอดภัย
แต่คำถามก็คือ จะมีสักกี่คนที่สามารถบอกได้ว่า มีการกระทำใดบ้างที่ถ้าทำแล้วจะยังผลทำให้คนๆหนึ่งกลายเป็นผู้ที่อยู่ใน 1 ใน 72 กลุ่มอันเป็นกลุ่มหรือแนวทางที่นำไปสู่ไฟนรก จะมีสักกี่คนที่สามารถให้คำตอบได้อย่างชัดเจนว่าอะไรคือตัวชี้วัดที่จะทำให้คนๆหนึ่งยังคงอยู่ในแนวทางที่ถูกต้องอยู่หรือคนๆหนึ่งได้ออกจากแนวทางอะฮ์ลุสสุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ไปอยู่ในกลุ่มหรือแนวทางที่หลงผิดแล้ว การนั่งคิดอะไรเอาเองหรือทึกทักอะไรไปเองนั้นไม่อาจทำให้สิ่งนั้นกลายเป็นความจริงขึ้นมาได้อีกทั้งการปลอบใจตัวเองไปวันๆว่าตัวเองอยู่ในแนวทางที่ถูกต้อง แล้วก็ไม่อาจที่จะทำให้ตัวเองอยู่ในแนวทางที่ถูกต้องจริงๆได้
หะดีษดังกล่าวที่ท่านนบีบอกว่าจะมีการแตกออกเป็น 73 กลุ่ม จะกลายเป็นหะดีษที่ไร้ความหมายไปโดยปริยาย ทั้งนี้ก็เพราะว่าเรารับรู้ถึง หะดีษดังกล่าวแต่เราก็ยังไม่สามารถบอกได้ว่าตกลงเรากำลังอยู่ในแนวทางไหนกันแน่ระหว่าง
1. แนวทางที่หลงผิดแต่ยังเป็นมุสลิมอยู่อันเป็นแนวทางที่นำไปสู่ไฟนรก
2. แนวทางที่หลงผิดอันเป็นแนวทางกาเฟรอันเป็นแนวทางที่นำไปสู่ไฟนรกอย่างไม่ต้องสงสัย
3. เรากำลังอยู่ในแนวทางที่ถูกต้องนั่นก็คือแนวทางของ อะฮ์ลุสสุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์
เราสามารถตอบอย่างไม่เข้าข้างตัวเองได้หรือไม่ว่าตกลงเรากำลังอยู่ในแนวทางแบบไหนกันแน่และมีอะไรเป็นตัวชี้วัดแบบไหนอย่างไร หรือว่าเรากำลังอยู่ในสภาพของคนที่สับสนมึนงงและไม่คิดที่จะทำให้ตัวเองออกจากความสับสนมึนงงนั้น แต่สมัครใจที่จะอยู่ในสภาพเช่นนั้นต่อไปและปลอบใจตัวเองอยู่ไปวันๆว่าตัวเองได้อยู่ในแนวทางที่ถูกต้องแล้ว
นี่หรือคนที่อ้างตัวเองว่าต้องการเป็นนักทำงานศาสนา แต่กลับไม่สามารถตอบได้ตั้งแต่เริ่มต้นว่า ตกลงแนวทางที่เรากำลังเดินอยู่นี้เป็นแบบไหนกันแน่ เพราะอะไร มีอะไรเป็นเกณฑ์ในการชี้วัดตัดสิน
เราจะว่าอย่างไรกับคน ๆ หนึ่งที่ต้องการเป็นผู้นำทางผู้อื่นเพื่อไปเชียงใหม่ โดยที่ตนเองก็รู้อยู่แก่ใจว่ามีเส้นทางจำนวนมากที่ไม่สามารถนำพาเขาไปถึงเชียงใหม่ได้เลย แต่สุดท้ายตัวเองก็ตัดสินใจออกเดินทางในสภาพที่ตนเองก็ไม่สามารถตอบได้ว่าตกลงเส้นทางที่ตนเองกำลังเดินทางอยู่นั้นมันจะนำพาเขาไปถึงเชียงใหม่ได้หรือไม่
มีคนแบบนี้ในโลกของเราด้วยหรือ?
ท่านผู้อ่านอาจจะนึกในใจก็ได้ว่า มีคนบ้าๆเช่นนี้ในโลกเราด้วยหรือ? แล้วเราจะว่าอย่างไรกับผู้ที่ต้องการเป็นนักทำงานศาสนาโดยมีเป้าหมายปลายทางคือ สวรรค์ คือต้องการนำคนให้มาอยู่ในแนวทางที่จะไปสู่สวรรค์ได้ โดยที่ตัวเองก็ทราบดีว่ามีแนวทางมากมายที่นำไปสู่ไฟนรกตามที่ท่านนบีได้บอกเอาไว้ แต่กระนั้นก็ตามตนเองกลับไม่สามารถตอบได้ว่าตกลงแนวทางที่ตนเองกำลังเดินอยู่และกำลังนำผู้อื่นอยู่ด้วยนั้น เป็นทางที่นำไปสู่สวรรค์หรือไฟนรกกันแน่ ถือว่าเป็นเรื่องแปลกเป็นอย่างมากที่ผู้ที่ตัวเองเที่ยวป่าวประกาศว่าจะเป็นผู้นำทางผู้อื่นให้มาอยู่ในทางที่จะนำไปสู่สวรรค์แต่ตัวเองกลับไม่รู้เสียเองว่าตกลงทางที่ตัวเองกำลังนำผู้อื่นอยู่นั้นเป็นทางที่จะนำไปสู่สวรรค์ได้จริงๆหรือไม่แบบไหนอย่างไรและมีอะไรเป็นข้อพิสูจน์
นักทำงานศาสนาที่มีความรู้เกี่ยวกับชีอะฮ์ก็ยอมรับว่าแนวทางชีอะฮ์คือแนวทางกาเฟรนำไปสู่ไฟนรกอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ถ้ามีคนมาถามเราว่า ตกลงชีอะฮ์เขาไม่ละหมาดหรือ เขาไม่จ่ายซะกาตหรือ เขาไม่ถือศีลอดหรือ เขาไม่ทำฮัจและสิ่งอื่นๆที่ศาสนาได้บัญญัติเอาไว้อย่างนั้นหรือ? ถ้ายอมรับว่าชีอะฮ์ได้ปฏิบัติในสิ่งที่กล่าวมา แล้วเราไปบอกได้อย่างไรว่าชีอะฮ์คือแนวทางกาเฟรนำไปสู่ไฟนรกอย่างแน่นอน ?
ถ้าท่านผู้อ่านเป็นนักทำงานศาสนาถูกถามเช่นนี้ ท่านจะตอบ และชี้แจงได้หรือไม่ ?
แน่นอนถ้าคนที่มีความรู้ก็ตอบออกมาในทำนองว่า “ใช่ ถึงแม้ว่าชีอะฮ์เขาจะละหมาด จ่ายซะกาต ถือศีลอด ทำฮัจและทำสิ่งอื่นๆที่เป็นบัญญัติศาสนาก็ตาม แต่เขาทำสิ่งต่างๆเหล่านั้นบนแนวทางกาเฟรที่นำไปสู่ไฟนรก เขาไม่ได้ทำสิ่งต่างๆเหล่านั้นบนแนวทางที่ถูกต้อง” เหมือนกับคนที่ต้องการเดินทางโดยมีเป้าหมายปลายทางคือ เชียงใหม่ ถึงแม้ว่าจะมียานพาหนะที่มีประสิทธิภาพยอดเยี่ยมขนาดไหนก็ตาม ไม่ว่าจะเป็น รถยนต์ รถไฟ เรือ หรือ เครื่องบินก็ตาม และในระหว่างที่กำลังเดินทางอยู่นั้นก็ไม่มีอุปสรรคอะไรเลยในขณะเดินทางเลยก็ตาม แต่เส้นทางที่ใช้เดินทางอยู่นั้นมันผิดตั้งแต่แรก เพราะฉะนั้นเส้นทางที่ใช้อยู่นั้นจึงไม่สามารถนำพาไปยังเชียงใหม่ได้ ถึงแม้ยานพาหนะจะมีประสิทธิภาพยอดเยี่ยมสักเพียงไรก็ตาม ถึงแม้ว่าเส้นทางในการเดินทางจะดีสักเพียงใดก็ตาม
พูดมาถึงตรงนี้ก็ทำให้นึกได้ถึงหะดีษที่ท่านนบีได้พูดถึงกลุ่มหลงผิดกลุ่มหนึ่งที่มีชื่อเรียกว่า คอวาริจ โดยท่านนบีได้บอกให้เราทราบว่ากลุ่มนี้จะทำอิบาดะฮฺอย่างมากมาย ถึงขนาดที่ท่านนบีได้พูดกับเศาะหาบะฮ์ว่าพวกนี้จะทำอิบาดะฮ์อย่างมากมายจนทำให้เศาะหาบะฮ์ต้องดูแคลนอิบาดะฮ์ของตัวเองที่ทำไปเลยเพราะสู้คนกลุ่มนี้ไม่ได้ แต่กระนั้นก็ตามท่านนบีก็ได้บอกเราเอาไว้ว่าพวกคอวาริจคือสุนัขในไฟนรก ท่านนบีได้กล่าวว่า
حَدَّثَنَا عَبْدُ اللَّهِ بْنُ يُوسُفَ، أَخْبَرَنَا مَالِكٌ، عَنْ يَحْيَى بْنِ سَعِيدٍ، عَنْ مُحَمَّدِ بْنِ إِبْرَاهِيمَ بْنِ الْحَارِثِ التَّيْمِيِّ، عَنْ أَبِي سَلَمَةَ بْنِ عَبْدِ الرَّحْمَنِ، عَنْ أَبِي سَعِيدٍ الْخُدْرِيِّ ـ رضى الله عنه ـ أَنَّهُ قَالَ سَمِعْتُ رَسُولَ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم يَقُولُ ” يَخْرُجُ فِيكُمْ قَوْمٌ تَحْقِرُونَ صَلاَتَكُمْ مَعَ صَلاَتِهِمْ، وَصِيَامَكُمْ مَعَ صِيَامِهِمْ، وَعَمَلَكُمْ مَعَ عَمَلِهِمْ، وَيَقْرَءُونَ الْقُرْآنَ لاَ يُجَاوِزُ حَنَاجِرَهُمْ، يَمْرُقُونَ مِنَ الدِّينَ كَمَا يَمْرُقُ السَّهْمُ مِنَ الرَّمِيَّةِ، يَنْظُرُ فِي النَّصْلِ فَلاَ يَرَى شَيْئًا، وَيَنْظُرُ فِي الْقِدْحِ فَلاَ يَرَى شَيْئًا، وَيَنْظُرُ فِي الرِّيشِ فَلاَ يَرَى شَيْئًا، وَيَتَمَارَى فِي الْفُوقِ ”
ท่านนบีได้กล่าวว่า: “จะมีคนกลุ่มหนึ่งเกิดขึ้นในประชาชาตินี้ ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่พวกเจ้าทั้งหลายจะดูแคลนการละหมาดของพวกเจ้าเมื่อเทียบกับการละหมาดของพวกเขา และพวกเจ้าทั้งหลายจะดูแคลนการถือศีลอดของพวกเจ้าเมื่อเทียบกับการถือศีลอดของพวกเขา และพวกเจ้าทั้งหลายจะดูแคลนการทำอิบาดะฮ์ของพวกเจ้าเมื่อเทียบกับการทำอิบาดะฮ์ของพวกเขา โดยที่พวกเหล่านี้จะอ่านอัลกุรอาน แต่อัลกุรอานจะไม่พ้นไปจากลำคอของพวกเขา พวกเหล่านี้จะหลุดออกไปจากอิสลามเหมือนกับลูกศรที่หลุดออกไปยังสัตว์ที่ถูกล่า โดยผู้ที่ยิงก็ตรวจสอบดูที่หัวลูกศรแต่ก็ไม่พบอะไรและได้ดูไปที่ลูกศรที่ไม่มีขนนกอยู่แต่ก็ไม่เห็นอะไรและก็ได้ดูไปที่ลูกศรที่มีขนนกอยู่แต่ก็ไม่เห็นอะไรและสุดท้ายเขาก็คาดว่าจะพบบางอย่างที่อยู่ส่วนล่างของลูกศร (บันทึกโดยอิมาม บุคคอรีย์ )
حَدَّثَنَا أَبُو بَكْرِ بْنُ أَبِي شَيْبَةَ، حَدَّثَنَا إِسْحَاقُ الأَزْرَقُ، عَنِ الأَعْمَشِ، عَنِ ابْنِ أَبِي أَوْفَى، قَالَ قَالَ رَسُولُ اللَّهِ ـ صلى الله عليه وسلم ـ الْخَوَارِجُ كِلاَبُ النَّارِ .
ท่านนบีได้กล่าวว่า “คอวาริจนั้นคือสุนัขในไฟนรก” (บันทึกโดยอิบนุมาญะฮฺ เป็นหะดีษเศาะฮีห์)
ที่กลุ่มค่อวาริจต้องมีสภาพเป็นเช่นนี้ทั้ง ๆ ที่พวกเขาต่างก็มีความจริงใจต่อศาสนาของอัลลอฮ์และทำอิบาดะฮ์กันอย่างมากมายก็เพราะว่าพวกเขาดำเนินอยู่ในแนวทางหรือเส้นทางที่หลงผิดที่นำไปสู่ไฟนรกตั้งแต่แรกแล้ว นอกจากนี้เราจึงได้รับบทเรียนได้เป็นอย่างดีว่า ความจริงใจต่อศาสนาและการทำอิบาดะฮ์และความดีต่างๆอย่างมากมายนั้นยังไม่เพียงพอ หากแต่จะต้องกระทำบนเส้นทางหรือแนวทางที่ถูกต้องด้วย ไม่ใช่ทำในสภาพที่ตนเองยังอยู่ในแนวทางหรือเส้นทางที่นำไปสู่ไฟนรกอยู่
เพราะฉะนั้น โอ้นักทำงานศาสนาทั้งหลาย นักเคลื่อนไหวเพื่ออิสลามทั้งหลาย หรือจะเป็นนักอะไรก็แล้วแต่เพื่อศาสนาทั้งหลาย ตกลงพวกท่านกำลังใช้เส้นทางหรือแนวทางไหนอยู่กันแน่ ท่านอย่าเพิ่งอยากทำโน่นทำนี่ให้ศาสนาก่อน ท่านอย่าเพิ่งกระหายที่จะรับใช้ศาสนาแบบนั้นแบบนี้ก่อน แต่จงหยุดตรวจสอบตัวเองและถามตัวเองก่อนว่า ตกลงตัวเองกำลังอยู่ในแนวทางใดกันแน่ ตกลงตัวเองกำลังใช้เส้นทางไหนอยู่กันแน่
และถ้าท่านจะตอบว่า “ผมมั่นใจแล้วว่าผมอยู่ในเส้นทางหรือแนวทางที่นำไปสู่เป้าหมาย นั่นก็คือสวรรค์” นั่นก็เท่ากับว่าท่านสามารถตอบได้อย่างถูกต้องใช่หรือไม่ว่าอะไรคือตัวชี้วัดที่จะใช้ในการตัดสินว่าคนๆหนึ่งยังคงอยู่ในเส้นทางหรือแนวทางที่รอดปลอดภัยอันเป็นเส้นทางที่จะนำไปสู่เป้าหมายนั่นคือสวรรค์และอะไรคือตัวชี้วัดที่จะบ่งชี้ว่าคนๆหนึ่งได้หลุดออกจากเส้นทางที่ถูกต้องไปสู่เส้นทางที่จะนำพาไปสู่ไฟนรกแล้ว
ท่านตอบได้อย่างฉะฉาน ชัดเจน ไม่คลุมเคลือใช่หรือไม่ ? ถึงได้ตอบว่า “ผมมั่นใจแล้วว่าผมอยู่ในเส้นทางหรือแนวทางที่นำไปสู่เป้าหมายแล้วนั่นก็คือสวรรค์” ถ้าตอบว่าไม่มั่นใจว่ามีอะไรบ้างที่จะเป็นตัวชี้วัด แล้วพูดออกมาได้อย่างไรว่า “ผมมั่นใจแล้วว่าผมอยู่ในเส้นทางหรือแนวทางที่นำไปสู่เป้าหมายแล้วนั่นก็คือสวรรค์” มันก็เหมือนคนๆหนึ่งพูดว่า “ผมมั่นใจว่าเส้นทางที่ผมใช้อยู่จะนำพาผมไปสู่เป้าหมายที่ผมต้องการจะไปได้นั่นก็คือจังหวัดสงขลา” แต่เมื่อถูกถามเพื่อให้พิสูจน์ว่าเส้นทางดังกล่าวจะนำพาไปสู่จังหวัดสงขลาได้เป็นแบบไหนอย่างไร ก็กลับไม่สามารถตอบได้แบบตรงประเด็น
ถามว่าท่านผู้อ่านจะว่าอย่างไรกับคนแบบนี้ ความมั่นใจจะเกิดขึ้นมาได้ก็จะต้องด้วยกับความรู้ที่ถูกต้อง เพราะฉะนั้นมันจะเป็นการไร้สาระ ไร้เหตุผลที่คนๆหนึ่งจะเกิดความมั่นใจในสิ่งหนึ่งทั้งๆที่ตนเองก็ยังไม่มีความรู้ในเรื่องที่จะพิสูจน์ได้ว่าเรื่องนั้นๆเป็นจริงได้อย่างไร
ท่านจะพูดได้ด้วยความมั่นใจได้อย่างไรว่าท่านนั้นกำลังใช้เส้นทางหรือแนวทางที่สามารถนำพาท่านไปสู่เป้าหมายปลายทางได้นั่นก็คือสวรรค์ ทั้งๆที่ตัวท่านเองก็ยังไม่รู้จักเลยว่าอะไรคือ “อุศู้ล” ของศาสนาที่ท่านกำลังนับถืออยู่
จะเป็นไปได้อย่างไรที่ผู้ที่อ้างตัวเป็นนักทำงานศาสนาหรือนักเคลื่อนไหวทางศาสนาหรือต้องการเป็นนักทำงานศาสนา แต่ตัวเองกลับยังไม่ได้เรียนรู้ให้เข้าใจเป็นอย่างดีเลยในสิ่งที่ถือเป็นรากฐานของศาสนาที่เรียกในภาษาอาหรับว่า อุศู้ล เป็นไปได้อย่างไรที่ท่านเรียกร้องให้ผู้คนเข้ามาหาศาสนาโดยที่ตัวท่านเองยังไม่เรียนรู้หรือเข้าใจในสิ่งที่เป็นรากฐานอันเป็นเรื่องใหญ่ของศาสนาที่มุสลิมทุกคนจะต้องเรียนรู้ก่อนสิ่งอื่นใดทั้งสิ้นถึงแม้ว่าจะเป็นการเรียนให้รู้ในภาพรวมก็ตามโดยอาจจะยังไม่ลงลึกในรายละเอียด
แล้วจะเป็นเช่นไรถ้านักทำงานศาสนา นักเคลื่อนไหวเพื่อศาสนายังไม่รู้จักถึงอุศู้ลของศาสนาตัวเองแม้แต่จะรู้จักโดยภาพรวมก็ตามว่ามีอะไรบ้างก็ยังไม่รู้
แต่สำหรับนักทำงานศาสนาหรือนักเคลื่อนไหวทางศาสนาพยายามที่จะเรียนรู้อุศู้ลของศาสนาก่อนสิ่งอื่นใดก็สมควรที่จะต้องได้รับการยกย่องชมเชยและชื่นชมถึงแม้ว่าจะยังเรียนรู้ไม่ครบถ้วนในภาพรวมก็ตามแต่ก็ยังถือว่ายังอยู่ในขั้นตอนการเรียนรู้และเห็นถึงความสำคัญของเรื่องที่เป็นอุศู้ลหรือรากฐานของศาสนา
แต่จะเป็นอย่างไรสำหรับนักทำงานศาสนาผู้ที่ยังไม่รู้เลยตั้งแต่ต้นว่า อุศู้ลคืออะไร มีความสำคัญอย่างไร และถ้าไม่เรียนรู้แล้วจะเกิดความเสียหายอะไร หรือนักทำงานศาสนาที่เคยแต่ได้ยินคำว่าอุศู้ล แต่ไม่รู้เรื่องว่าอุศู้ลคืออะไร สำคัญอย่างไร จะเกิดความเสียหายอะไรที่ไม่เรียนรู้ในเรื่องอุศู้ล
สุดท้ายนี้ขอเน้นย้ำว่าเส้นทางหรือแนวทางจะรอดปลอดภัยอันจะสามารถนำพาคนๆหนึ่งไปสู่เป้าหมายปลายทางได้นั่นคือสวรรค์นั้นถูกผูกติดอยู่กับอุศู้ลของศาสนาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อุศู้ลคือรากฐานของศาสนา อุศู้ลของศาสนาไม่ใช่เรื่องที่ใครจะมาคิดกันเองได้ หากแต่อุศู้ลนั้นเป็นสิ่งที่มาจากอัลกุรอานและสุนนะฮ์ของท่านนบีโดยผ่านความเข้าใจของเศาะหาบะฮฺและได้รับการสืบทอดจากคนรุ่นต่อมาจากชาวสะลัฟ เพราะฉะนั้นการที่จะรู้ได้ว่ามีสิ่งใดบ้างที่ถือว่าเป็นอุศู้ลของศาสนานั้นก็จะต้องรู้ผ่านตำราอุศู้ลต่าง ๆ ของปราชญ์ที่อยู่ในแนวทางอะฮ์ลุสสุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ในยุคสะลัฟที่ได้ประพันธ์เอาไว้
ศึกษาเพิ่มเติมประเด็นเรื่องหะดีษ 73 กลุ่ม มีทั้งหมด 6 ตอน ได้ที่
เสวนาปัญหาคาใจ – ชี้แจง หะดีษ 73 จำพวก ที่ถูกบิดเบือน ตอนที่ 1
เสวนาปัญหาคาใจ – ชี้แจง หะดีษ 73 จำพวก ที่ถูกบิดเบือน ตอนที่ 2
เสวนาปัญหาคาใจ – ชี้แจง หะดีษ 73 จำพวก ที่ถูกบิดเบือน ตอนที่ 3
เสวนาปัญหาคาใจ – ชี้แจง หะดีษ 73 จำพวก ที่ถูกบิดเบือน ตอนที่ 4
เสวนาปัญหาคาใจ – ชี้แจง หะดีษ 73 จำพวก ที่ถูกบิดเบือน ตอนที่ 5
เสวนาปัญหาคาใจ – ชี้แจง หะดีษ 73 จำพวก ที่ถูกบิดเบือน ตอนที่ 6