ตำราอะกีดะฮฺอะลิซซุนนะฮฺกับอิจมาอ์ห้ามโค้นล้มผู้ปกครองมุสลิม

อิจมาอ์เกือบทุกเรื่องในศาสนา เวลามีการสรุปแล้วว่ามีอิจมาอ์ ก็จะมี 2 กรณีที่เกิดการค้านอิจมาอ์นั้น

1. มีความเห็นหรือการกระทำที่ค้านอิจมาอ์ ซึ่งอุละมาอ์ที่ค้านอิจมาอ์ อาจจะไม่ทราบ หรือไม่รับรู้ว่ามีอิจมาอ์ในเรื่องนี้เกิดขึ้น

2. กรณีที่มีรายงานอิจมาอ์มาแล้ว แต่มีคนไม่รับอิจมาอ์นั้น และออกมาค้านว่าอิจมาอ์นั้นว่าใช้ไม่ได้ เป็นการมุ่งไปที่ตัวอิจมาอ์ ซึ่งกรณีนี้อาจเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น ไปเอารายงานจากยุคสะลัฟมา หรืออาจเป็นการกระทำของสะลัฟ แล้วมาสรุปอิจมาอ์ –อิจมาอ์บิลฟะฮ์มิ เข้าใจอิจมาอ์ผ่านการตีความ ไม่ใช่อิจมาอ์บิลนักลิ เข้าใจอิจมาอ์ผ่านการรายงาน ซึ่งอุละมาอ์พลาดในแบบแรกกันเยอะมาก และแบบที่ 2 นั้นมีน้ำหนักและความแม่นยำกว่า- [รายละเอียดเพิ่มเติมฟังได้ที่: เจตนารมณ์แห่งอัสสะละฟุศศอและห์ ตอน 1 : แนวทางสลัฟ คือ อะไร? เจตนารมณ์ของคำนี้คืออะไร?]

ยกตัวอย่างเรื่องซิฟาต (คุณลักษณะของอัลเลาะฮ์) ซึ่งมีอิจมาอ์หมดแล้วทั้งเรื่องอัลเลาะฮ์เสด็จลงมา เรื่องบัลลังก์ ฯลฯ แต่ก็จะมีรายงานสะลัฟที่สับสน เข้าไม่ถึงข้อมูล ที่นำไปสู่การสรุปอิจมาอ์ใหม่ว่าเรื่องนี้มีคิลาฟ เรื่องนี้ไม่มีอิจมาอ์ เช่น มีรายงานคำพูดอิมามอะฮ์หมัดว่า “ลากัยฟะ วะลามะนา {ไม่มีวิธีการ ไม่มีความหมาย}” คนรุ่นหลังก็ไปเอาคำพูดนี้มาสรุปอิจมาอ์บิลฟะฮ์มิ ว่าอิมามอะฮ์หมัดตีความ (จริงๆ “ลามะนา” คือไม่มีความหมายแบบตีความ) ยิ่งถ้ามีอิทธิพลความเชื่อหนึ่งในใจอยู่แล้ว เช่น มีฐานคิดแบบอะชาอิเราะห์ก็จะทำให้โน้มเอียงไปยังการสรุปอิจมาอ์ผิดๆ

เกี่ยวกับเรื่องนี้นั้น ในหนังสือชะเราะห์ -อรรธาธิบาย- อะกีดะฮ์ฏอฮาวียะฮ์ของชัยค์ศอลิฮ์ อาลิชชัยค์ เล่มที่สอง ในหมวดล้มผู้นำ ชัยคฺกล่าวว่า อุละมาซุนนะฮ์นั้นมีคนจำนวนหนึ่งที่ได้รับอิทธิพลจากพวกมุอ์ตะซิละฮ์ จึงทำให้ไปเข้าใจเรื่องล้มผู้นำสะเปะสะปะ ฉะนั้นคำถามสำหรับคนที่จะไม่เอาหรือคัดค้านอิจมาอ์ห้ามล้มผู้นำว่า ตกลงไม่เอาอิจมาอ์เรื่องซิฟาตใช่หรือไม่? ห้ามต่อต้าน ห้ามตำหนิ (ภาษาอาหรับเรียกว่า อิงการ์) ใช่หรือไม่? เพราะมีคนไม่ยอมรับอิจมาอ์เต็มไปหมด

อีกประเด็นหนึ่งคือมีคนอ้างว่าอิจมาอ์ไม่ก็อตอีย์ เอามาตับดิอ์ไม่ได้ ซึ่งไม่จริง ไม่ถูกต้อง เพราะอย่างในหนังสืออุซูลุซซุนนะฮ์ของอิมามอะฮ์หมัด ท่านกล่าวชัดเจนว่า มุบตะดิอ์ อะลาฆ็อยริซซุนนะฮ์, วัฏฏอรีก ด้วย

ฉะนั้นในกรณีที่มีอุละมาอ์ได้ค้านอิจมาอ์โดยไม่ยอมรับอิจมาอ์นั้นขอแย้งดังนี้

1. การเอาตำรายุคหลังสะลัฟมานั่งเถียงกันมันก็ไม่จบ เพราะอุละมาอ์ยุคหลังมีความเห็นแตกต่างกันมากมายรวมถึงเรื่องซิฟาตด้วย และอีกหลายเรื่อง ฉะนั้นต้องไปจบที่ตำราสะลัฟ

2. มีหรือไม่ ตำราที่ถูกเขียนใน 300 ปีแรก ที่บอกว่าเรื่องนี้มีคิลาฟ หรือบอกว่าเรื่องล้มผู้นำนั้นสามารถทำได้ เพราะตำราอุซุ้ลที่เรารู้กันนั้นบรรจุเรื่องห้ามล้มผู้นำไว้ในอะกีดะฮ์หมดเลย และมีสำนวนรุนแรง เช่น บอกว่าพวกล้มผู้นั้นเป็นเคาะวาริจญ์ เพราะฉะนั้น และเป็นสิ่งที่ต้องเน้นย้ำว่า อย่าเอาอาซาร รายงานในยุคสะลัฟมาอธิบายใหม่ เช่น ไปอ้างรายงานที่อ้างว่าอิมามอะบูหะนีฟะฮ์ให้เงินสนับสนุนการล้มผู้นำ ทั้งที่อิมามฏอฮาวีย์ได้สรุปไปแล้วว่าอิมามอะบูหะนีฟะฮ์ไม่ล้มผู้นำ กล่าวคือ ไปเอาการกระทำของสะลัฟมาสรุปเอาเองว่ามีคิลาฟ

3. อุละมาที่อ้างว่าเรื่องนี้มีคิลาฟนั้น ความน่าเชื่อถือในทางวิชาการนั้นเทียบกับอุละมาอ์ที่รายงานอิจมาอ์มาไม่ได้เลย ซึ่งอุละมาอ์ที่ถูกเอามาค้านนั้น โดยทั่วไปแล้วไม่ใช่อุละมาที่มัชฮูร -ที่เลื่องลื่อ ที่แพร่หลาย เป็นที่รู้จัก- เท่าไรหนัก

หลักการศาสนาพื้นฐานเลยคือ สิ่งที่เป็นคำพูดหรือลายลักษณ์ ย่อมต้องมาก่อนสิ่งที่เป็นการกระทำ เพราะการกระทำนั้นอาจเกิดขึ้นจากหลายสาเหตุ เช่น ความไม่รู้หลักฐาน, อารมณ์ใฝ่ต่ำห้ามไม่ไหว ฯลฯ เช่นมีสะลัฟชาวกูฟะฮ์กินเหล้า ทั้งที่นบีได้ห้ามเด็ดขาดแล้ว แต่นั่นเพราะเขาไม่รู้ว่านบีห้ามแล้ว จะเอาการกระทำมานับเป็นคิลาฟค้านรายงานอิจมาอฺไม่ได้

ซึ่งอิจมาอ์นั้นเป็นสิ่งที่อุลามาอฺสะลัฟมุอฺตะบัรได้รายงานมาเป็นลายลักษณ์บนความรู้ที่แน่ชัดในหลักฐาน เป็นการสรุปว่าหลักการอิสลามในเรื่องนี้คืออะไรกันแน่ ฉะนั้นมันไม่ใช่หน้าที่เรา ที่จะไปล้มกระดาน แล้วย้อนเวลาเป็นพันปีไปอิจติฮาดใหม่ในเรื่องที่เขาเคลียร์กันแล้ว!