การมีอยู่จริงของพระเจ้า (โดยสังเขป) ตอนที่ 4: ความซับซ้อนในร่างกายมนุษย์

(ทบทวนตอนที่ 1 คลิก , ตอนที่ 2 คลิก และตอนที่ 3 คลิก

ค. ความซับซ้อนในร่างกายมนุษย์

พระองค์อัลเลาะฮฺได้ทรงเรียกร้องให้มนุษย์พินิจร่างกายของตนเองไว้ว่า

“พวกเขามิได้ใคร่ครวญในตัวของพวกเขาเองดอกหรือ” (30:8)

ความจริงแล้วการเรียกร้องให้มวลมนุษย์ไตร่ตรองถึงการมีอยู่ของพระผู้สร้างนั้น ไม่เพียงแต่จะถูกพูดถึงการพิจารณาในตัวตนของมนุษย์เท่านั้น หากแต่พระองค์ทรงเรียกร้องให้มวลมนุษย์พิจารณาสรรพสิ่งในสากลจักรวาลนี้ทุกประการ ดังที่พระองค์ได้ทรงดำรัสว่า

“และพวกเขามิได้มองดูในอำนาจทั้งหลายแห่งบรรดาชั้นฟ้าและแผ่นดิน และสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่อัลเลาะฮฺได้ทรงบังเกิดขึ้นดอกหรือ ?” (7:185)

อย่างไรก็ตามหากจะให้ข้าฯไล่เรียงพิสูจน์การดำรงอยู่ของพระองค์ให้หมดในสากลจักรวาลนี้เห็นจะเป็นเรื่องหนักหนาเหลือเกิน หน้ากระดาษส่วนนี้จะพูดถึงการพิสูจน์ถึงการมีอยู่ของพระองค์ผ่านร่างกายของมนุษย์ก่อนเท่านั้น

พระองค์อัลเลาะฮฺได้ทรงดำรัสไว้ในอัลกุรอาน ความว่า

“โอ้ มนุษย์เอ๋ย ! หากพวกเจ้ายังอยู่ในการสงสัยแคลงใจ เกี่ยวกับการฟื้นคืนชีพแล้วไซร้ แท้จริงเราได้บังเกิดพวกเจ้าจากดิน ต่อมาจากเชื้ออสุจิ ต่อมาจากก้อนเนื้อ ทั้งที่เป็นรูปร่างที่สมบูรณ์ และไม่เป็นรูปร่างที่สมบูรณ์ เพื่อเราจะได้ชี้แจงเคล็ดลับแห่งเดชานุภาพแก่พวกเจ้า และเราให้การตั้งครรภ์เป็นที่แน่นอนอยู่ในมดลูกตามที่ประสงค์ จนถึงเวลาที่กำหนดไว้แล้วเราให้พวกเจ้าคลอดออกมาเป็นทารก แล้วเพื่อพวกเจ้าจะได้บรรลุสู่วัยฉกรรจ์ของพวกเจ้า และในหมู่พวกเจ้ามีผู้เสียชีวิตในวัยหนุ่ม และในหมู่พวกเจ้ามีผู้ถูกนำกลับสู่วัยต่ำต้อย วัยชรา เพื่อเขาจะไม่รู้อะไรเลยหลังจากมีความรู้ (ในวัยหนุ่ม) และเจ้าจะเห็นแผ่นดินแห้งแล้ง ครั้นเมื่อเราได้หลั่งน้ำฝนลงมาบนมัน มันก็จะเคลื่อนไหวขยายตัวและพองตัวและงอกเงยออกมาเป็นพืช ทุกอย่างเป็นคู่ๆ ดูสวยงาม” (22:5)

เมื่อพูดถึงสิ่งมีชีวิตโดยเฉพาะมนุษย์แล้ว องค์ประกอบที่จะขาดไม่ได้ในสิ่งมีชีวิตอย่างมนุษย์คือคำที่เราคุ้นหูกันว่า “เซลล์” (cell) วิทยาศาสตร์ในยุคปัจจุบันได้ค้นพบถึงโลกอันยิ่งใหญ่ที่ปรากฏอยู่ในเซลล์ของสิ่งมีชีวิต ความพิศวงของระบบเซลล์สะท้อนให้เห็นผ่านระบบการทำงานภายในที่ซับซ้อนสุดคาดคิด ความซับซ้อนของเซลล์เหล่านี้บ่งชี้ถึงความเป็นไปไม่ได้ที่จะสรุปว่ามันเกิดขึ้นจากความบังเอิญ

เซลล์ที่มีชีวิตเพียงตัวเดียวจะประกอบไปด้วยส่วนเล็กๆภายในย่อยออกเป็นพันๆ ส่วน ภายในโครงสร้างที่ซับซ้อนเช่นนี้เซลล์จะทำงานกันอย่างเป็นเอกภาพ ถ้าจะเปรียบก็เปรียบได้ว่าภายในเซลล์ตัวเดียวนี้จะมีทั้งสถานีพลังงานไฟฟ้า โรงงานต่างๆอันทันสมัยที่ใช้ทำหน้าที่ต่างกัน ทั้งยังมีระบบการจัดเก็บข้อมูลที่ซับซ้อน ระบบเก็บรักษาที่มีขนาดใหญ่มาก โรงกลั่นกรองที่ทันสมัย ตลอดจนมีเยื่อหุ้มเซลล์ที่ดูเหมือนเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่สามารถรับรู้อะไรได้ ซึ่งเยื้อหุ้มเซลล์นี้จะทำหน้าที่ควบคุมสิ่งที่เข้าออกจากเซลล์

เซลล์นี้จะสามารถมีชีวิตดำรงอยู่ต่อไปได้ก็ต่อเมื่อส่วนต่างๆที่มีอยู่ในตัวมันที่ใช้ในการปฏิบัติการ จะต้องเกิดขึ้นมาพร้อมๆกันเท่านั้นและมันก็เป็นไปไม่ได้เลยที่ระบบการทำงานของเซลล์ที่น่าซับซ้อนละเอียดอ่อนเหล่านี้ จะเกิดขึ้นเนื่องมาจากความบังเอิญ แม้กระทั่งในปัจจุบันนี้ห้องแล็บวิทยาศาสตร์ที่ประกอบไปด้วยเครื่องมือเครื่องใช้ที่ทันสมัยที่สุด ก็ยังไม่มีความสามารถที่จะผลิตเซลล์ที่มีชีวิตขึ้นมาจากสิ่งที่ไร้ชีวิตได้เลยแม้แต่สักตัวเดียว จริงๆแล้วมันก็เป็นที่ยอมรับกันอย่างแน่นอนว่าสิ่งนั้นเป็นไปไม่ได้และความอุตสาหะที่จะยังพยายามผลิตเซลล์ที่มีชีวิตจากสิ่งที่ไม่มีชีวิตเหล่านั้นก็ล้มเลิกไป

แต่กระนั้นผู้ที่ปฏิเสธพระเจ้าก็ยังกล่าวอ้างว่า ระบบการทำงานของเซลล์ที่กล่าวมานี้เกิดขึ้นมาเองจากความบังเอิญ ซึ่งความเป็นจริงแล้วระบบการทำงานของเซลล์แม้แต่มนุษย์ผู้พร้อมไปด้วยสติปัญญาความรู้ความสามารถและเทคโนโลยีที่ทันสมัยก็ยังไม่มีความสามารถที่จะลอกเลียนแบบได้เลย ท่านเซอร์เฟรด ฮอยล์ (Sir Fred Hoyle) ซึ่งเป็นนักดาราศาสตร์และนักคณิตศาสตร์ชาวอังกฤษผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง ได้กล่าวอธิบายบอกถึงความเป็นไปไม่ได้ที่เซลล์จะกำเนิดเกิดขึ้นมาเอง โดยเขาได้ยกตัวอย่างว่า

“ยังไม่มีใครแสดงให้เห็นได้ว่าการเรียงตัวกันอย่างถูกลำดับของกรดอะมิโน ที่เหมือนกับลำดับที่มีอยู่ในเอนไซม์ สามารถเกิดขึ้นมาได้ด้วยวิธีนี้… (นั่นคือ) สถานที่เก็บของเก่าซึ่งมีชิ้นส่วนต่างๆของเครื่องบินโบอิ้ง 747 ต่างถูกถอดชิ้นส่วนออกจากกันอย่างกระจัดกระจาย จากนั้นก็เกิดลมพายุขึ้นโดยพัดผ่านสถานที่เก็บของเก่านี้ มีความน่าจะเป็นไปได้มากน้อยเพียงใดภายหลังจากที่พายุที่ว่านี้ได้พัดผ่านกองชิ้นส่วนของเครื่องบินโบอิ้ง 747 แล้วชิ้นส่วนต่างๆจะประกอบตัวกันเองจนกลายเป็นเครื่องบินที่พร้อมบินได้อยู่ตรงนั้น ความน่าจะเป็นนั้นน้อยอย่างมากๆ แม้แต่ถ้าจะให้พายุหมุนพัดผ่านสถานที่เก็บของเก่าที่มีจำนวนมากที่จะพอบรรจุให้ทั่วทั้งจักรวาลได้ก็ตาม”[1]

หมายความว่า ความเป็นไปได้ที่สิ่งมีชีวิตในชั้นที่สูงขึ้นไปอย่างมนุษย์จะเกิดขึ้นมาเองด้วยความบังเอิญนั้น ก็อาจจะเปรียบได้กับความเป็นไปได้ที่พายุโทนาโดจะพัดผ่านเข้ามายังกองเก็บของและวัสดุเก่าแล้วกลายไปเป็นเครื่องบินโบอิ้ง 747 จากวัสดุที่อยู่ในกองเก็บของเก่านั้นได้!

ในปัจจุบันนี้วิทยาศาสตร์ด้านเคมีวิทยาของสิ่งมีชีวิตก็ได้เปิดเผยให้รู้ไว้เช่นกันถึงลักษณะทางด้านโครงสร้างและการปฏิบัติงานอันซับซ้อนที่สุดจะคิดได้ของโมเลกุล DNA ระบบทางด้านโครงสร้างของโมเลกุล DNA ได้ถูกค้นพบ โดยนักวิทยาศาสตร์ 2 คน นั่นคือ เจมส์ วัตสัน(James Watson) และ ฟรานสิซ คริค (Francis Crick) ในปี 1955 จากการค้นพบของเขาทั้งสองนี้ก็บอกให้เรารู้ว่าสิ่งมีชีวิตนั้นมีระบบการทำงานที่น่าซับซ้อนเกินกว่าที่คาดไว้ในตอนแรกเสียอีก

ฟรานสิซ คริค ผู้ซึ่งได้รับรางวัลโนเบลจากการค้นพบครั้งนี้ ถึงแม้ตัวของเขาเองจะเป็นนักทฤษฎีวิวัฒนาการอย่างฝังหัวก็ตาม แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยอมรับว่า โครงสร้างการทำงานเหมือนอย่าง DNA นี้ ไม่มีวันที่มันจะเกิดขึ้นมาเองได้ด้วยความบังเอิญ DNA เป็นโมเลกุลขนาดใหญ่ที่มีอยู่ในนิวเคลียสของเซลล์ รายละเอียดทั้งหมดของสรีระและรูปร่างของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดจะถูกบันทึกไว้ในส่วนที่เป็นเกลียวขดสองชั้นนี้ ข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับองค์ประกอบทางด้านร่างกายของเราตั้งแต่สีในตาไปจนถึงระบบโครงสร้างของอวัยวะภายในของเราและสัดส่วนการปฏิบัติงานของเซลล์ของเราทั้งหมดทั้งหลายเหล่านี้จะถูกวางโปรแกรมไว้ในส่วนที่เรียกว่ายีนใน DNA นี้

รหัสของ DNA จะประกอบไปด้วยลำดับการจัดเรียงฐานต่างๆที่แตกต่างกันไป ถ้าเราจะเปรียบเทียบฐานเหล่านี้ในรูปของตัวอักษรเราก็จะสามารถเปรียบ DNA ได้กับฐานจัดเก็บข้อมูลที่ประกอบไปด้วยอักษร 4 ตัว ข้อมูลของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดจะถูกจัดเก็บไว้ในฐานข้อมูลนี้

ถ้าเราจะลองเขียนข้อมูลที่มีอยู่ใน DNA ทั้งหมดนี้ลงบนกระดาษก็อาจจะต้องใช้กระดาษเป็นล้านๆหน้า และนี่ก็เท่ากับว่าต้องเขียนข้อมูลที่มีอยู่ใน DNA นี้ลงไปมากกว่าสารานุกรม บริเตนนิก้า (Britannica) ถึง 40 เท่า ซึ่งสารานุกรมบริเตนนิก้านี้ก็เป็นแหล่งรวบรวมข้อมูลแหล่งเดียวที่ใหญ่ที่สุดสำหรับมนุษย์ที่มีอยู่

แต่แหล่งข้อมูลของ DNA ที่เหลือเชื่อนี้ก็ได้ถูกจัดเก็บไว้ในนิวเคลียสที่เล็กกระจิดริดของเซลล์ของเราซึ่งมีขนาดเล็กกว่าหนึ่งมิลลิเมตรถึงหนึ่งพันเท่า

มีการคำนวณกันว่าสายของ DNA ที่เล็กพอจะใส่ไว้ในช้อนชาได้นี้มีความสามารถที่จะบรรจุข้อมูลทั้งหมดของหนังสือทุกเล่มที่เขียนขึ้นมาในโลกนี้ได้

แน่นอนที่สุดเป็นไปไม่ได้เลยที่ลักษณะโครงสร้างอันน่าอัศจรรย์ที่กล่าวมานี้ มันจะเกิดขึ้นมาจากความบังเอิญ ทฤษฎีวิวัฒนาการซึ่งมองชีวิตว่าเป็นเพียงแค่สิ่งที่เกิดขึ้นมาจากความบังเอิญที่ไร้จุดมุ่งหมาย ก็ต้องล้มเหลวหมดท่าไม่สามารถเปิดปากพูดอะไรได้เมื่อต้องเผชิญกับระบบการปฏิบัติงานที่ซับซ้อนอย่างไม่น่าเชื่อของ DNA มันเป็นที่ประจักษ์ชัดแล้วว่า DNA และเซลล์ต่างๆ ตลอดจนสิ่งมีชีวิตทั้งหมดนี้เป็นผลที่เกิดมาจากการสร้างสรรค์อันยอดเยี่ยมและน่าสรรเสริญ เมื่อมีการสร้างหรือมีสิ่งที่ถูกสร้างอยู่จริงก็แน่นอนที่สุดที่จะต้องมีผู้ที่สร้างสิ่งเหล่านี้ขึ้นมา ผู้ทรงพลังอำนาจอันไม่มีที่สิ้นสุด ผู้ทรงรอบรู้และทรงเต็มเปี่ยมด้วยวิทยปัญญา

เมื่อเราเฝ้ามองดูสิ่งมีชีวิตต่างๆที่มีอยู่ในธรรมชาติไม่ว่าจะสิ่งใดก็ตาม เราก็จะเห็นได้เลยว่าผู้ที่สร้างมันขึ้นมานี้ช่างมีอำนาจอันยิ่งใหญ่เสียจริงๆ สิ่งมีชีวิตที่มีอยู่ในธรรมชาติเป็นล้านๆชนิดได้บ่งบอกถึงงานทางศิลปะและงานศิลปะทุกชนิดก็บ่งบอกให้รู้ถึงการมีอยู่ของนักศิลปะหรือจิตรกรผู้อยู่เบื้องหลังผลงานนี้ ผู้ซึ่งวาดมันขึ้นมา และผู้อยู่เบื้องหลังงานศิลปะทั้งหลายที่มีอยู่ในธรรมชาตินี้ก็คือ พระเจ้า พระผู้อภิบาลแห่งโลกนี้และชั้นฟ้าทั้งหลายตลอดจนสิ่งที่มีอยู่ในระหว่างชั้นฟ้าและแผ่นดิน

ข้าฯ ขอให้ท่านลองพิจารณาที่ขนตาและขนจมูกของท่านทั้งหลายเถิด ความบังเอิญอันใดกันเล่าที่ทำให้ขนตาซึ่งสามารถยาวเฟื้อยไม่มีจุดสิ้นสุดจำต้องยุติการงอกของมันพอดีกับความต้องการของอวัยวะเล่า? เหตุใดขนตาถึงไม่งอกยาวออกมาทิ่มแทงสายตาของมนุษย์จนสร้างความรำคาญ การวิวัฒนาการหรือความบังเอิญอันใดที่ทำให้ขนตารู้จุดหมายของการเดินทางของตนเองเล่า? ความบังเอิญอันใดเล่าที่บัญญัติให้ขนตายุติการงอกของมันพอดีกับความจำเป็นในการป้องกันฝุ่นเข้าตา? ความบังเอิญรับรู้เจตนาและรสนิยมของมนุษย์ทั่วโลกกระนั้นหรือ? ถึงได้มีขนตาแบบเดียวกันหมดเพื่อสร้างความสำราญใจแก่มนุษย์ ? เหตุใดขนจมูกถึงไม่ออกมา รกรุงรังปิดกั้นการหายใจของมนุษย์เล่า? เหตุใดมันต้องพอดีกับการป้องกันฝุ่นเข้าจมูกเช่นเดียวกับขนตาอีกครั้ง ? ธรรมชาติและประสบการณ์ที่มนุษย์คุ้นเคยไม่ยอมรับคำอธิบายต่อความสมบูรณ์แบบด้วยคำว่า “ความบังเอิญ” ในโลกนี้ไม่เคยมีสิ่งก่อสร้างอันมหัศจรรย์ใดถูกจารึกว่าได้รับการสร้างภายใต้การดูแลของคนที่ไร้ความรู้เรื่องสถาปัตยกรรมเลย! แต่มนุษย์อันเป็นสิ่งถูกสร้างที่วิเศษสุดกลับได้รับการอธิบายว่ามันถูกสร้างขึ้นจากผลงานของสถาปนิกที่มีชื่อสุดเห่ยว่า “ความบังเอิญ” !

ขอให้เราลองไตร่ตรองถึงเผ่าพันธุ์ของมนุษย์กันเสียใหม่ ประสบการณ์ของมนุษยชาติไม่เคยยอมรับเรื่องความบังเอิญในฐานะผู้สร้าง บันทึกทางประวัติศาสตร์นับตั้งแต่มีการขีดเขียนเป็นต้นมาไม่เคยพบจารึกของท้องที่ใดหรือบันทึกของนักประวัติศาสตร์ท่านใดที่ระบุว่าได้เกิดปรากฏการณ์ความบังเอิญสร้างสรรค์งานศิลปะชั้นยอดขึ้น ขอสาบานต่อพระองค์อัลเลาะฮฺ ว่าไม่เคยมีเลย ไม่เคย! ยิ่งไปกว่านั้นแม้ความบังเอิญจะเป็นเรื่องที่ยากเย็นจนเกินยอมรับได้ก็ตาม แต่สมมุติว่าเรายอมรับให้มีบางสิ่งอุบัติขึ้นจากความบังเอิญได้ก็ตาม แต่ตามกฎของการแสวงหาความจริงแล้ว ในสรรพสิ่งนับล้านชนิดทั่วโลก ความบังเอิญที่ผลิตสิ่งสมบูรณ์ออกมาได้นั้นจะเป็นเพียงเศษเสี้ยวเดียวจากความล้มเหลวทั้งหมด ยกตัวอย่าง หากเรานำเอาอิฐหินปูนทรายและอุปกรณ์การก่อสร้าง กองแยกไว้เป็นพันกองเท่ากันหมด จากนั้นก็ให้เราวางระเบิดอานุภาพร้ายแรงใส่ไว้ทั้งพันกองเพื่อรอให้มันทำปฏิกิริยาจนกลายเป็นอาคารหลังหนึ่งจนสำเร็จ หากมีเรื่องปาฏิหาริย์เกิดขึ้นจริงก็อาจจะมีเพียง 1 กองจากหนึ่งพันกองทั้งหมดที่อาจบรรลุเป้าหมายกลายเป็นบ้านหลังหนึ่งเสียจริง

นี่คือลักษณะที่แท้จริงอันมีอยู่ในโลกของความบังเอิญ มันไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่ 990 กองจะกลายเป็นอาคารบ้านเมือง ส่วนอีก 10 กองจะกลายเป็นซากปรักหักพังจากลูกระเบิด ความจริงแล้วสติปัญญาของมนุษย์บ่งชี้ว่าหนึ่งพันกองจะประสบกับความล้มเหลวทั้งสิ้นด้วยซ้ำไป หากการวิวัฒนาการหรือการบังเกิดสิ่งมีชีวิตเป็นไปด้วยความบังเอิญแล้ว เราจะไม่พบประชากรสัตว์และสิ่งมีชีวิตนับล้านๆประเภทพลอยบังเอิญกันหมดเป็นว่าเล่นแถมมีโครงสร้างทางกายภาพสุดมหัศจรรย์ด้วย

ข้าฯไม่เข้าใจเลยว่าบรรดานักวิทยาศาสตร์ขมองใสเชื่อไปได้อย่างไรว่าสัตว์โลกนับล้านชนิดที่อาศัยอยู่ในทุกทวีปและทุกมหาสมุทรนับตั้งแต่เคยมีโลกนี้ ล้วนพลอยกันบังเอิญซ้ำๆซากๆนับล้านของล้านครั้งก็ว่าได้! โลกนี้จะมีอะไรบังเอิญถึงล้านครั้งเชียวหรือ ? หากเรานำเอาสัตว์หนึ่งคู่จากทุกชนิดบนโลกนี้มาเรียงกันเราจะได้จำนวนมหาศาลเท่าใดคงมีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่จะรู้ สมมติรวบยอดไปว่าโลกนี้มีสัตว์ทั้งหมด 5 แสนชนิดและในแต่ละชนิดสามารถจัดเป็นหนึ่งคู่ คือตัวผู้และตัวเมีย นั่นหมายความว่าโลกนี้เคยเกิดเรื่องบังเอิญถึงหนึ่งล้านครั้ง! ยังไม่นับสัตว์บางชนิดที่อาจบังเอิญเกิดขึ้นซ้ำกันอีก เช่น สมมติว่ามีวัวคู่หนึ่งบังเอิญเกิดขึ้นเป็นวัวจนสำเร็จ แน่นอนว่าต้องมีวัวคู่อื่นๆอีกนับพันคู่ที่บังเอิญแปลงร่างจากก้อนหินเป็นพ่อวัวแม่โคได้! นี่คือเรื่องชวนหัวยิ่งนัก

ธรรมชาติรอบกายเราอุดมไปด้วยความสมบูรณ์แบบ หากทุกอย่างเป็นไปด้วยความบังเอิญเราก็คงต้องสร้างปรัชญาชุดใหม่ขึ้นอธิบายโลกว่าความบังเอิญนั้นเป็นปรากฏการณ์ส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นกับสิ่งมีชีวิตบนโลกนี้! บางทีมนุษย์ควรจะเลิกทำสงครามกันเองแล้วก็เบนเข็มสู้รบกับความบังเอิญแทนดีกว่า ใครจะไปรู้ว่าอีกล้านปีข้างหน้าทวีปแอฟริกาที่มีแต่ความแห้งแล้งและผืนป่าอาจจะกลายสภาพเป็นนครลาสเวกัส ลอนดอน ปารีสและดูไบรวมกันด้วยความบังเอิญก็ได้ บางทีมนุษย์อาจต้องเจอภัยพิบัติใหม่ที่น่ากลัวกว่าภัยธรรมชาติ นั่นคือมนุษย์ที่เคยล้มตายเพราะภูเขาไฟระเบิด สึนามิถล่ม เปลือกโลกเคลื่อนจนเกิดแผ่นดินไหว บางทีโลกอาจจะป่วนเนื่องจากวันดีคืนดีหอไอเฟล (Eiffel Tower) นับล้านชิ้นไปโผล่เอากลางสวนยางพาราทางตอนใต้ของไทยจนทรัพยากรล้มตายกันหมด บางทีเครื่องบินรบชั้นดีอาจจะอุบัติด้วยความบังเอิญขึ้นในใจกลางประเทศอัฟกานิสถานก็ได้ บางทีพีระมิดอาจจะอุบัติขึ้นทั่วท้องสนามหลวงของกรุงเทพฯก็เป็นได้ หากความบังเอิญช่างเกิดขึ้นง่ายเหลือคณาเช่นนี้แล้ว มนุษย์ก็สมควรหันไปทำสงครามก่อนจะโดนความบังเอิญขับไล่ที่ทำกิน ที่พักอาศัยเสีย!

[1] Fred Hoyle, Intelligent Universe (London: Book Sales, 1983). p.19. The Boeing 747 metaphore is reported in Nature, 294 (1981), p.10. quoted in S.J. Freeland, “Could an intelligent alien predict earth’s biochemistry?” in Fitness of the Cosmos for Life: Biochemistry and Fine-Tuning (Cambridge Astrobiology) ed. John Barrow. note 11.


(อ่านตอนสุดท้าย คลิก)