การมีอยู่จริงของพระเจ้า (โดยสังเขป) ตอนที่ 2

(ทบทวนตอนที่ 1 คลิก)

อัลกุรอานได้วางตรรก (logic) ในการพิสูจน์พระเจ้าอยู่หลายจุดดังนี้

ก. จุดกำเนิดของสรรพสิ่ง

ตรรกเบื้องต้นเลยที่อัลกุรอานวางไว้เป็นคำถามสำหรับผู้ปฏิเสธพระเจ้าคือจุดกำเนิดของการสร้าง ดังที่อัลกุรอานระบุว่า

“พวกเจ้าเห็นอสุจิที่พวกเจ้าหลั่งออกมาแล้วมิใช่หรือ? พวกเจ้าสร้างอสุจิขึ้นมาเอง หรือว่าเราเป็นผู้สร้างอสุจิเล่า?” (56:58-59)

ผู้ใดอ่านโองการอัลกุรอานข้างต้นอย่างพินิจจะพบว่า โองการข้างต้นเป็นการเปิดประเด็นอภิปรายกับผู้ที่ไม่เชื่อว่าสิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นโดย “ผู้สร้าง” ดังนั้นอัลกุรอานจึงตั้งคำถามแก่คนประเภทนี้เพื่อให้เกิดการทบทวนใหม่ว่า การที่สิ่งมีชีวิตรอบตัวของเรามีอยู่ได้ย่อมนำไปสู่คำถามว่ามันมีมาได้อย่างไร? แน่นอนการจะเฟ้นหาคำตอบในเรื่องนี้มนุษย์มีตัวเลือกของคำตอบแค่สองประการในเบื้องต้นคือ

๑. มีพระผู้สร้าง
๒. สรรพสิ่งเหล่านั้นสร้างตัวมันขึ้นมาเอง

นี่คือตัวเลือกที่อัลกุรอานแจกแจงไว้ เพื่อให้ผู้ปฏิเสธพระเจ้าได้ตอบคำถาม ไม่ว่าเราจะใช้มันสมองอันชาญฉลาดรังสรรค์คำตอบใดมา มันก็จะไม่พ้นทางเลือกสองประการข้างต้นนี้ เช่น บางคนอาจจะตอบว่าสรรพสิ่งกำเนิดขึ้นด้วยการวิวัฒนาการ มันก็จะตกอยู่ใต้ตัวเลือกข้อที่ ๒. หรือบางคนอาจจะตอบว่ามันเกิดขึ้นจากกฎของฟิสิกส์มันก็ยังตกอยู่ใต้ตัวเลือกข้อที่ ๒. อยู่ดี เป็นต้น ข้าฯจึงไม่เคยพบเห็นผู้ปฏิเสธพระเจ้ารายใดสามารถเสริมตัวเลือกที่สามขึ้นมาได้อีกเลย

ไม่ว่าจะอธิบายด้วยรายละเอียดอันใด ผู้ปฏิเสธพระเจ้าจะเลือกข้อที่ ๒. อย่างแน่นอน แต่ก็ยังมีโจทย์เพิ่มอีกว่า สิ่งที่ไม่มีตัวตนจะสามารถสร้างตนเองขึ้นจากความว่างเปล่าได้กระนั้น หรือ? หากสรรพสิ่งรอบกายเราบังเกิดขึ้นได้เพราะการสร้างตัวเองขึ้นมา ก็ย่อมหมายความว่าก่อนที่มันจะเริ่มสร้างตนเองขึ้นในขั้นตอนแรกสุด มันเป็นสิ่งที่ไม่มีอะไรอยู่เลย อัลกุรอานได้อุปมาถึงเรื่องของอสุจิว่ามันเกิดขึ้นเองหรือพระเจ้าสร้างมันขึ้นมา หากตอบว่าอสุจิหยดแรกของปฐมมนุษย์สร้างตัวเอง ก็หมายความว่ามันสร้างตัวเองขึ้นจากความว่างเปล่า แล้วความว่างเปล่าสามารถใช้ “ความไม่มีอะไร” มาสร้างให้บังเกิดผลเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ได้อย่างไรกัน?

ยกตัวอย่างเช่น จักรวาลที่เราอาศัยอยู่ วิทยาศาสตร์และอัลกุรอานระบุชัดว่าจักรวาลมีจุดกำเนิดชัดเจน (14:32) ในวิทยาศาสตร์ระบุว่ามันมีอายุเป็นล้านๆปีสุดแสนคาดคิดถึงความยาวนานของมันได้ สมมติเราตั้งตัวเลขให้เข้าใจง่ายๆว่าจักรวาลมีอายุเพียงแค่ 10 ปีเท่านั้น นั่นหมายความว่า 9 ปีก่อนหรือก่อนการกำเนิดจักรวาล มันไม่เคยมีสิ่งใดดำรงอยู่ก่อนหน้านั้นเลย เป็นเพียงความว่างเปล่า คำถามที่ผู้ปฏิเสธต้องตอบก็คือ ความไม่มีอะไรจะสร้างตัวเองขึ้นมาให้เป็นสรรพสิ่งได้อย่างไร? จะใช้ (ความว่างเปล่า) อะไรสร้างตัวเองเล่า? อุปมาได้กับห้องสี่เหลี่ยมที่ไม่มีอะไรอยู่ภายในห้องเลยทั้งอากาศ ทั้งสิ่งมีชีวิต ทั้งแสง มีความเป็นไปได้หรือไม่ที่อีกร้อยล้านปีต่อมาภายในห้องจะกลายเป็นทะเลที่อุดมไปด้วยสัตว์น้ำล้ำค่า?

บางคนอาจแย้งว่าจักรวาลเกิดขึ้นได้เพราะมีมวลก๊าซรวมตัวเพื่อทำปฏิกิริยาบางอย่างกัน คำตอบเช่นนี้เป็นคำตอบที่ไม่ตรงเป้า หากยึดคำตอบเช่นนี้แล้ว มันจะเกิดคำถามต่อไปไม่จบอีกว่าแล้วก๊าซเหล่านั้นสร้างตัวเองขึ้นมาได้อย่างไรอีก? แล้วสภาวะก่อนการกำเนิดจักรวาลซึ่งปราศจากสถานที่นั้น ในห้วงเวลาเช่นนั้นมวลก๊าซจะเอาตัวเองไปรวมตัวเพื่อทำปฏิกิริยาที่ไหนได้เล่า?

นี่คือตัวอย่างเล็กน้อยที่สะท้อนให้เห็นถึงความจนแต้มของฝ่ายที่ปฏิเสธพระเจ้า เพราะโจทย์ที่หนักที่สุดสำหรับคนกลุ่มนี้คือการหาคำตอบให้ได้ว่า สิ่งที่ไม่มีตัวตนอะไรมาก่อนจะสร้างตัวเองขึ้นมาจากความว่างเปล่าได้อย่างไร? คำถามที่ตีไม่แตกเช่นนี้แหละที่วิทยาศาสตร์ไม่มีคำตอบที่สมเหตุสมผลให้เลย คำตอบที่เราได้มาจากวิทยาศาสตร์ล้วนแล้วแต่เป็นคำตอบพิลึกพิลั่นเปี่ยมไปด้วยคำศัพท์ล้ำสมัยแต่ขาดเนื้อหาสัจธรรม พวกเขาจะตอบเราแค่คำเพียงไม่กี่คำ อาทิ วิวัฒนาการ ความบังเอิญ ทั้งที่คำตอบเช่นนี้ยังไม่มีเนื้อหาจุดใดหักล้างความสงสัยที่เราได้ถามไปเลย

ศาสนาจึงให้คำตอบแก่พวกเขาว่าสรรพสิ่งต้องมีพระผู้สร้างสรรค์ขึ้น เนื่องจากสรรพสิ่งทั้งมวลมีสภาพเสมือนคนที่พึ่งพาตนเองไม่ได้ มันไม่มีตัวตน ไม่มีความสามารถ ไม่มีอะไรเลยก่อนการกำเนิด ฉะนั้นมันจะสร้างตัวเองขึ้นได้อย่างไรในเมื่อตัวมันเองยังไม่มีแม้กระทั่งลักษณะความสามารถใดๆด้วยซ้ำ ความเชื่อเช่นนี้สวนทางกับธรรมชาติบริสุทธิ์ที่อยู่ในสามัญสำนึกของมนุษย์

เพราะมนุษย์ทุกคนบนโลกนี้เมื่อพบเห็นสิ่งแปลกตาที่ตนไม่เคยเห็นมาก่อนจะเกิดคำถามในใจขึ้นทันทีว่า “ใครสร้างไว้” เมื่อตอนที่นักโบราณคดีค้นพบหินก้อนใหญ่สูงตระหง่านฟ้า (สโตนเฮนจ์) วางเรียงรายเสมือนเครื่องบูชาเทพเจ้าอยู่ในประเทศอังกฤษ นักวิชาการที่สนใจในสิ่งก่อสร้างแปลกประหลาดก็ตั้งคำถามอภิปรายกันทันทีจวบจนถึงวันนี้ว่าใครสร้าง?

เท่าที่รู้มา ข้าฯไม่เคยพบนักวิชาการท่านใดทะลึ่งบอกว่าก้อนหินยักษ์เหล่านี้วิวัฒนาการมาเองอย่างบังเอิญ! หรือหากวันนี้เราเดินเข้าไปในป่าทึบและพบอุปกรณ์บางอย่างที่เราไม่เคยพบที่ใดในโลกมาก่อน เราก็จะถามทันทีว่าใครสร้าง? แต่น่าเวทนาแท้ที่วิทยาศาสตร์จอมปลอมกลับพยายามทำลายสามัญสำนึกเรื่องพระเจ้าอันทรงเหตุผลในตัวมนุษย์ลงได้ พวกนักวิทยาศาสตร์เหล่านี้กระหายที่จะบีบคั้นจิตใจประชาชนให้ยอมรับว่าจักรวาลทั้งหมดมีได้ด้วยความบังเอิญ!

ข้อเท็จจริงตรงนี้เป็นเสมือนดั่งก้างขวางคอของทฤษฎีวิวัฒนาการ เนื่องจากทฤษฎีนี้จับจุดเริ่มต้นอธิบายการวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตหลังจากจักรวาลบังเกิดขึ้นแล้ว หรืออธิบายเริ่มต้นเอาจากจุดกำเนิดของสิ่งมีชีวิตตัวแรกที่วิวัฒนาการมาจากสรรพสิ่งที่ไร้ชีวิตก่อน แต่นายดาร์วิน (Charles Darwin) เจ้าของทฤษฎีนี้ต้องจนด้วยเกล้าเมื่อถูกบังคับให้หาคำตอบว่าจักรวาลบังเกิดขึ้นมาได้อย่างไร สรรพสิ่ง (วัตถุ) ที่ไม่มีชีวิตซึ่งจะวิวัฒนาการเป็นสิ่งมีชีวิตในภายหลังนั้นถูกสร้างมาจากที่ใด กล่าวได้ว่าทฤษฎีนี้อธิบายกำเนิดชีวิตเอาเฉพาะตั้งแต่ช่วงที่เป็นก้อนหินวิวัฒนาการไปสู่การเป็นก้อนหินที่มีชีวิตแบบหยาบๆเท่านั้น โดยมิได้ให้คำตอบว่าก้อนหินก้อนแรกนั้นมาจากที่ใด แล้วจักรวาลที่ให้ก้อนหินก้อนนี้พึ่งพาอาศัยตลอดจนหยิบยืมวัตถุดิบรอบข้างเพื่อวิวัฒนาการนั้นใครเป็นผู้สร้างอีกที!?

ความจริงแล้ววิทยาศาสตร์ไม่มีความสามารถพอที่จะตอบคำถามเหล่านี้ เนื่องจากวิทยาศาสตร์เป็นวิชาที่อธิบายถึงวิธีการกำเนิดสรรพสิ่งเท่านั้น มิใช่อธิบายถึงสาเหตุที่อยู่เบื้องหลังการกำเนิดสรรพสิ่ง เมื่อวิทยาศาสตร์จนแต้มต่อคำถามเหล่านี้พวกเขาจึงหันมาทวงถามฝ่ายศาสนาคืนบ้างว่า “แล้วใครสร้างพระเจ้า?” ศาสนาให้คำตอบต่อคำถามนี้ว่า สิ่งใดก็ตามที่มีจุดเริ่มต้นของการกำเนิดชีวิตตัวเอง สิ่งนั้นต้องมีผู้ที่สร้างมัน ธรรมชาติรอบตัวของเราทุกชนิดถูกวิทยาศาสตร์ยืนยันว่ามันมีจุดเริ่มต้นทั้งสิ้น แต่ทว่าพระเจ้ากลับเป็นอื่นไปจากนี้ ศาสนาให้คำตอบว่าพระเจ้าทรงมีคุณลักษณะหนึ่งที่สำคัญ นั่นคือพระองค์ทรงมีอยู่โดยปราศจากจุดเริ่มต้น ทรงดำรงอยู่มาแต่เดิมโดยไม่มีสภาพของการถูกสร้าง พระองค์ไม่มีภาวะของการถูกสร้างแต่อย่างใด

คำถามว่า ใครสร้างพระเจ้า? จึงเป็นการตั้งคำถามผิดปกติ เนื่องจากเป็นการนำเอาลักษณะของ “การถูกสร้าง” ไปใช้ถามกับสิ่งที่ไม่มีลักษณะเช่นนั้นรองรับ จึงไม่อาจตอบคำถามเช่นนั้นไปได้ ยกตัวอย่างเช่น นักวิชาการท่านหนึ่งจากฝ่ายค้านออกมาพูดแก่สังคมว่าทุกวันนี้สังคมเสื่อมทรามเพราะปัญหาท้องก่อนแต่ง รัฐบาลจะมีมาตรการดำเนินการกับสตรีเพื่อมิให้เกิดการตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควรได้อย่างไร ? ทันใดรัฐบาลซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นผู้หญิงก็สวนทันควันว่าแล้วเหล่าบุรุษเล่าจะรับผิดชอบกับปัญหาท้องก่อนแต่งของบุรุษกันเองได้อย่างไรบ้าง ? แน่นอนว่านี่คือคำถามชวนหัว และไม่มีใครบนโลกนี้ที่ชาญฉลาดสามารถตอบคำถามเช่นนี้ได้ดอกนอกจากคนวิกลจริต เพราะเป็นการถามหาในสิ่งที่ฝ่ายถูกถามมีความพิเศษกว่าลักษณะบกพร่องที่ฝ่ายถามกำลังต้องการคำตอบ ฝ่ายชายไม่มีลักษณะที่เป็นปัญหาคือการท้องก่อนแต่งอยู่ในธรรมชาติแต่อย่างใด

ยังมีตัวอย่างที่ใกล้เคียงกันอีก เช่น หากข้าฯถามท่านผู้อ่านที่เป็นผู้ชายว่า ท่านมีเพื่อนชายบ้างไหม แน่นอนว่าต้องมี และหากข้าฯ ถามต่อไปว่า สมมติท่านกับเพื่อนของท่านแต่งงานกัน ต่อมาเพื่อนของท่านก็ตั้งครรภ์ขึ้น คำถามมีอยู่ว่า บุตรที่กำลังจะกำเนิดออกมาเป็นเพศชายหรือเพศหญิง? ใครที่ตอบคำถามเช่นนี้ได้ก็คงพิกลไปแล้ว เพราะสัจธรรมมีอยู่ว่าชายกับชายไม่สามารถสืบพันธุ์กันได้ การมานั่งถามว่าบุตรที่คลอดออกมาเป็นชายหรือหญิง จัดเป็นคำถามชวนหัว เพราะเป็นการตั้งคำถามในสิ่งที่ไม่มีทางเป็นไปได้อยู่แล้ว

ข้าฯยกคำถามพวกนี้ขึ้นมาเป็นตัวอย่างเพื่อที่จะให้ท่านผู้อ่านเกิดการเปรียบเทียบเอาว่าการตั้งคำถามว่าใครสร้างพระเจ้านั้น จัดเป็นคำถามไร้สาระที่ไม่มีคุณค่าใดๆแก่การตอบคำถาม ไม่ต่างอะไรไปจากตัวอย่างคำถามที่ข้าฯได้สมมติขึ้นมา

บางคนอาจจะแย้งเพิ่มว่าทำไมเราถึงยกเว้นให้พระเจ้าเป็นสิ่งที่ไม่ถูกสร้าง ไม่มีจุดเริ่มต้นได้ แล้วทำไมเราถึงไม่บอกว่าจักรวาล หรือสิ่งนั้นสิ่งนี้มีมาแต่เดิมบ้างเล่า ? เราขอตอบว่า เพราะสรรพสิ่งเหล่านี้ถูกวิทยาศาสตร์ที่พิสูจน์ได้ยืนยันตรงกันว่ามันมีจุดเริ่มต้น จักรวาลมีอายุไขชัดเจน หาใช่สรรพสิ่งที่มีมาแต่เดิมแบบปราศจากจุดเริ่มต้น ฉะนั้นการเรียกร้องให้มอบข้อยกเว้นในสรรพสิ่งที่ไม่อาจยกเว้นได้จึงเป็นเรื่องเหลวไหล

การที่สรรพสิ่งทั้งมวลมีจุดเริ่มต้นของอายุไขตัวเอง บ่งชี้ชัดว่ามันถูกสร้างขึ้นมาจากแหล่งแห่งอำนาจอันหนึ่งแน่นอน เพราะสรรพสิ่งเหล่านี้ไม่สามารถสร้างตัวเองขึ้นจากความว่างเปล่าได้เลย ด้วยกับสภาพเช่นนี้เองที่สรรพสิ่งเหล่านี้จะต้องพึ่งพาผู้หนึ่งที่มีลักษณะพิเศษกว่าพวกมันหลายเท่าตัว เป็นผู้ที่จะตอบสนองต่อการพึ่งพาตัวเองไม่ได้ของสรรพสิ่งเป็นอย่างดี ข้าฯกำลังตั้งคำถามว่า การที่พระเจ้าทรงมีมาแต่เดิมโดยปราศจากจุดเริ่มต้นและลักษณะของการถูกสร้างนั้น คุณลักษณะเช่นนี้ของพระเจ้ามีความสำคัญอย่างไรต่อการกำเนิดสรรพสิ่ง? หรือถามให้กระชับได้อีกแบบว่า สภาวะการมีมาแต่เดิมของพระองค์สำคัญอย่างไรกับการดำรงอยู่ของสรรพสิ่ง?

คำตอบมีอยู่ว่า คุณลักษณะการมีมาแต่เดิมของพระองค์คือบ่อเกิดของสรรพสิ่ง หากว่าพระองค์ไม่มีคุณลักษณะเช่นนี้แล้วสรรพสิ่งจะบังเกิดขึ้นไม่ได้อย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งที่ปราศจากคุณลักษณะประการนี้จะไม่ถูกนับว่าเป็นพระเจ้าผู้ทรงปรีชาญาณได้เลย

สมมติมีนายทหารคนหนึ่งกำลังเตรียมพร้อมที่จะลั่นไกปืนสังหารฝ่ายตรงข้ามอยู่ แต่ทว่านายทหารท่านนี้ยังไม่สามารถลั่นไกปืนได้จนกว่าจะได้รับคำสั่งยิงจากเจ้านายเบื้องบนอีกที และเจ้านายเบื้องบนก็ไม่สามารถสั่งยิงได้หากไม่ได้รับคำสั่งจากแม่ทัพที่มีตำแหน่งเบื้องบนอีกที และแม่ทัพผู้นี้ก็ยังไม่สามารถออกคำสั่งยิงได้หากไม่ได้รับคำสั่งจากเบื้องบน เป็นอย่างนี้ย้อนไปหาคำสั่งจากเบื้องบนไม่รู้จบ คำถามมีอยู่ว่านายทหารคนนี้จะมีวันลั่นไกปืนได้หรือไม่?

คำตอบคือ ไม่ได้ เนื่องจากไม่มีจุดสิ้นสุดของคำสั่ง ต้องไล่ไปไม่จบไม่สิ้นไม่รู้ว่าใครคือผู้บัญชาการสูงสุดกันแน่ นี่คือภาวะของการย้อนฟังคำสั่งเบื้องสูงแบบไม่มีจุดจบ อย่างไรก็ตามหากพบว่าวันหนึ่งนายทหารผู้นี้สามารถลั่นไกปืนได้แล้ว เราจะสรุปเรื่องนี้อย่างไรดี? แน่นอน เราต้องสรุปว่าคำสั่งยิงสามารถหาจุดสิ้นสุดที่ผู้บัญชาการสูงสุดแล้ว ซึ่งผู้บัญชาคนนี้เป็นยอดสูงสุดที่ไม่ต้องมีการรอคำสั่งจากใครอีก เป็นผู้บัญชาการที่มีสภาวะเหนือกว่านายทหารชั้นล่างทั้งหมด นั่นคือสภาวะที่ไม่ต้องหาคำสั่งจากใครอีกแต่จบที่ตัวของเขาเองผู้เดียว ผู้บัญชาการท่านนี้จะต้องมีสภาวะพิเศษที่ทำให้คำสั่งจบสิ้นลงที่ตัวของเขา อันเป็นคุณลักษณะที่นายทหารชั้นล่างไม่มี

เรื่องของพระเจ้าก็เป็นไปตามกฎการอธิบายเช่นนี้ บัดนี้จักรวาล และชีวิตได้อุบัติขึ้นแล้ว สิ่งเหล่านี้เราสรุปไปแล้วว่ามันบังเกิดขึ้นด้วยตนเองไม่ได้ จักรวาลจึงเปรียบเสมือนลูกกระสุนที่ถูกยิงออกไป ฉะนั้นเมื่อลูกกระสุนถูกยิงออกไปแล้ว มันเป็นเหตุผลบังคับเลยว่าต้องมีจุดสิ้นสุดของคำสั่ง หรือจุดยุติของคำสั่งให้สร้างจักรวาล หากไล่ถามไม่จบว่าใครสร้างพระเจ้า แล้วใครสร้างผู้ที่สร้างพระเจ้าอีกที แล้วใครสร้างผู้ที่สร้างพระเจ้าของพระเจ้าอีกที ใครสร้าง…..ใครสร้าง…..!

การถามสาวความไม่จบเช่นนี้จะทำให้จักรวาลไม่สามารถบังเกิด สรรพสิ่งจะไม่มีอยู่อย่างที่เห็น เหมือนกับลูกกระสุนที่ไม่มีวันยิงได้ ฉะนั้นไม่ว่าเราจะถามย้อนไปเรื่อยว่าใครสร้างจักรวาล ใครสร้าง… ใครสร้าง… ใครสร้าง… คำถามเช่นนี้มันต้องมีจุดที่จบ อันเป็นจุดที่ไม่ต้องการสภาพของการถูกสร้างอีกต่อไป เป็นจุดที่จบสิ้นคำสั่งในตัวเอง ผู้ที่ดำรง ณ จุดนี้จะมีลักษณะที่รองรับกับการเป็นผู้ที่อยู่บนยอดสุดของคำสั่ง นั่นคือพระองค์จะไม่ถูกสร้างโดยสิ่งอื่นอีกต่อไป เป็นเพียงผู้เดียวที่จะมีลักษณะเช่นนี้ เพราะการที่พระองค์มีลักษณะเช่นนี้ จัดเป็นลักษณะสมบูรณ์แบบที่ส่งผลต่อการดำรงอยู่ของสรรพสิ่งอื่น หากพระองค์ไม่มีลักษณะเช่นนี้ จักรวาลจะไม่มีทางบังเกิดขึ้นได้เลย ซึ่งพระผู้สร้างผู้นี้ อิสลามเรียกว่า “พระองค์อัลเลาะฮฺ” ดังที่พระองค์ได้ทรงดำรัสไว้ด้วยตนเองว่า

“จงเทศนาเถิด (มุฮัมมัด) ว่าพระองค์คืออัลเลาะฮฺ ผู้ทรงเป็นหนึ่ง (ในการถูกบูชาและสร้างสรรพสิ่ง) อัลเลาะฮฺนั้นทรงเป็นที่พึ่ง (ของสากลจักรวาล) พระองค์ไม่ประสูติ (มีทายาท) และไม่ทรงถูกประสูติ (จากใครอีกที) และไม่มีผู้ใดเสมอเหมือนพระองค์” (112:1-4)

เมื่อมนุษย์ถูกบังเกิด มนุษย์รู้จักตัวเองมากกว่ารู้จักพระเจ้า ฉะนั้นเมื่อมนุษย์รับรู้เรื่องพระเจ้าขึ้นในครั้งแรกเขาก็จะใช้ความคิดที่จำกัดของตนเองไปถามถึงสภาพของพระเจ้า เอาสภาพการเกิดแก่เจ็บตายไปถามกับพระเจ้า มุสลิมทุกคนเชื่อว่าสรรพสิ่งต้องดับสูญยกเว้น พระเจ้าเท่านั้นที่ทรงนิรันดร์ เช่นเดียวกันสรรพสิ่งทั้งหลายต้องถูกสร้าง ยกเว้นพระเจ้าเท่านั้นที่ไม่ถูกสร้าง


(อ่านตอนที่ 3 คลิก)