การมีอยู่จริงของพระเจ้า (โดยสังเขป) ตอนที่ 3

(ทบทวนตอนที่ 1 คลิก และตอนที่ 2 คลิก

ข. วิญญาณและความไม่มีอิสรภาพของมัน

นอกเหนือไปจากการบังเกิดสิ่งมีชีวิตที่พวกปฏิเสธพระเจ้าจนปัญญาที่จะให้คำตอบแล้ว ทฤษฎีวิวัฒนาการยังปราศจากคำตอบที่สำคัญอีกประการหนึ่งนั่นคือ วิญญาณมาจากไหน? ปัจจัยสำคัญที่ทำให้มนุษย์มีชีวิตอยู่ได้ก็คือการมีวิญญาณอยู่ในร่างกายของมนุษย์ นี่คือความต่างระหว่างร่างกายของคนเป็นและร่างกายของคนตาย ขอให้เราพิจารณาถึงศพของคนตายที่ตายฉับพลัน เพียงแค่ในวินาทีแรกที่บุคคลสิ้นชีวิตลง เรารับรู้ได้ว่าเขาเสียชีวิตลงแล้วทั้งที่ในร่างกายของเขาเครื่องในยังไม่มีสิ่งใดเสียหายเลยแต่อย่างใด ทว่าการที่เครื่องในไม่ทำงานก็เพราะร่างกายขาดวิญญาณไปแล้ว

ทฤษฎีวิวัฒนาการอันถูกยึดถือโดยผู้ปฏิเสธพระเจ้าไม่สามารถให้คำตอบได้ว่าสิ่งไม่มีชีวิตนำวิญญาณมาบรรจุลงใส่สรรพสิ่งจากแหล่งใด? การที่ก้อนหินจะกลายสภาพเป็นสิ่งมีชีวิต ที่มีทั้งการเคลื่อนไหว มีลมหายใจ และมันสมอง ก้อนหินเหล่านี้ไปแสวงหาวิญญาณจากแหล่งใดมา แล้วทฤษฎีนี้อธิบายการผสานกันระหว่างวิญญาณกับวัตถุเข้าด้วยกันไว้หรือไม่? คำตอบคือไม่มี ผู้ปฏิเสธพระเจ้าไม่สามารถให้คำตอบได้ว่าแหล่งกำเนิดของวิญญาณมาจากที่ใด ใครเป็นผู้สร้างวิญญาณไว้ เกี่ยวกับเรื่องวิญญาณนี้ คัมภีร์อัลกุรอานได้ท้าทายกลุ่มชนที่ไม่เชื่อในการมีอยู่ของพระองค์ด้วยหลักโต้แย้งเหล่านี้ไว้ว่า

“และเมื่อวิญญาณได้มาถึงคอหอย (กำลังจะตาย) แล้ว พวกเจ้าสามารถจะยับยั้งไว้ได้หรือ?” (56:83)

“หากว่าพวกเจ้ามิได้อยู่ภายใต้อำนาจของผู้ใด และไม่มีพระเจ้าเป็นผู้มีอำนาจเหนือพวกเจ้าแล้ว ไฉนเล่าพวกเจ้าจึงไม่ให้วิญญาณกลับมาสู่ร่างอีก หากพวกเจ้าพูดจริง?” (56:86-87)

จากธรรมบทข้างต้น เราได้แง่คิดว่าหากมวลชีวิตปราศจากพระเจ้าผู้ทรงควบคุมลมหายใจของพวกเขาแล้ว มวลชีวิตจะสามารถหนีพ้นจากความตายหรือฟื้นคืนชีพเป็นว่าเล่นได้เลยด้วยซ้ำ เนื่องจากกลุ่มชนที่ปฏิเสธการมีอยู่ของพระเจ้าโดยมากมักเชื่อว่าสิ่งมีชีวิตกำเนิดขึ้นมาแบบไร้จุดหมายทั้งยังบังเกิดขึ้นด้วยความบังเอิญ

ด้วยเหตุนี้เองที่พระองค์อัลเลาะฮฺได้ท้าทายพวกเขาว่าหากมนุษย์และหมู่มารยังชีพด้วยเอกราชแห่งวิญญาณที่ปราศจากพระเจ้าแล้ว มันช่างง่ายเหลือเกินที่พวกเขาจะแหกกฎแห่งความตายลงได้

เพราะกระทั่งเรื่องชีวิต พวกเขาก็ยังเชื่อไปได้ว่ามันถูกบังเกิดจากความว่างเปล่าโดยบังเอิญ แล้วจะนับประสาอะไรเล่ากับร่างกายที่สิ้นปราณไปหมาดๆ ทำไมจะมิอาจคืนชีพเป็นว่าเล่นได้ในเมื่อมวลชีวิตอยู่ได้โดยอิสระ?

ทำไมเหล่าปัญญาชนจนใจทั้งหลายถึงมิอาจสร้างวิทยาการที่จะฝืนกฎเหล็กแห่งความตายไปได้เล่า? ทำไมพวกเขาจึงไม่ตอบสนองคำท้าทายของพระองค์ที่สั่งให้พวกเขาฟื้นชีพคนตาย? ทั้งที่มันง่ายกว่าการเกิดขึ้นอย่างบังเอิญเสียอีก!

สัจธรรมที่มีอยู่ชี้ว่ามวลชีวิตมิได้ดำรงอยู่อย่างอิสระ หากแต่ถูกควบคุมด้วยกฎเหล็กแห่งความตายที่ไม่เคยมีใครสามารถทำลายมันลงได้นับตั้งแต่สมัยของบรรพมนุษย์แล้ว กฎเหล็กที่มีอยู่ชี้ชัดถึงการดำรงอยู่ของพระผู้เรืองอำนาจแห่งการสร้าง ที่คอยบริหารมิให้สรรพสิ่งออกนอกกฎเหล็กเหล่านี้ได้ หากมวลชีวิตเป็นเอกราชจากพระเจ้าเสียแล้ว เหตุใดมวลชีวิตถึงตกใต้กฎเหล็กนี้ทุกรายจนกลายเป็นระบบที่ทรงเอกภาพ อันผิดวิสัยของกฎความเป็นจริงที่ว่าระบบใดมิอาจมีขึ้นได้หากปราศจากผู้วางกฎระเบียบคุมระบบอีกที!

สำหรับคนไทยจำนวนหนึ่งที่ออกปากปฏิเสธพระเจ้า แต่กลับครองตนศรัทธาในทวยเทพยดาหลากประเภทหรือสารพัดสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อัลกุรอานได้ตอบโต้พวกเขาไว้ว่า

“หากในชั้นฟ้าและแผ่นดินมีพระเจ้าหลายองค์นอกจากอัลเลาะฮฺแล้ว (สภาพเช่นนั้น) ก็จะก่อให้เกิดความเสียหายอย่างแน่นอน อัลเลาะฮฺพระเจ้าแห่งบัลลังก์ทรงบริสุทธิ์จากสิ่งที่พวกเขาเสกสรรปั้นแต่งขึ้น” (21:22)

ธรรมวจนะบทนี้บอกเราว่า ธรรมชาติมิอาจดำรงอยู่หรือสนองตอบต่อผู้ออกคำสั่งได้หากมันมีมากกว่าหนึ่งองค์ขึ้นไป โลกมนุษย์ที่เปื้อนไปด้วยสงครามความวุ่นวายตลอดจนการผันแปรทางการเมืองโลกบอกเราได้เป็นอย่างดีว่ามันเกิดขึ้นจากสาเหตุที่โลกปราศจากผู้ปกครองเบ็ดเสร็จ หมายความว่าการที่มนุษย์โลกหลากพันธุ์ต่างมีพลังต่อกรเท่ากันผนวกกับแรงปรารถนาที่จะครอบครองทรัพยากร ทำให้โลกไม่เคยเกิดความมั่นคงเพราะการแก่งแย่งอำนาจจะเกิดขึ้นหมุนเวียนผ่านไป สุดแล้วแต่จะมีตัวแสดงคนใหม่ขึ้นทลายขั้วอำนาจเก่าลง ครั้งหนึ่งจักรภพอังกฤษเคยเป็นใหญ่ครองทรัพยากรโลกไว้มากแต่ท้ายที่สุดก็ล่มสลายลงเมื่อชาติยุโรปอีกหลายชาติลุกขึ้นทัดทานอำนาจเก่าเพราะต้องการเปลี่ยนรูปการเมืองโลกใหม่

เช่นเดียวกันหากสากลธรรมชาติถูกควบคุมดูแลจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากกว่าหนึ่งองค์ดั่งความเชื่อของคนไทยแล้ว ธรรมชาติคงวุ่นพิลึกแท้ สิ่งศักดิ์สิทธิ์หลากองค์คงวิวาทกันแทบทุกวี่วันผ่านเรื่องจิปาถะ บางองค์คงต้องการให้ดวงอาทิตย์โคจรย้อนทิศ บางองค์ก็อาจประสงค์จะให้ลมลอยออกมาจากก้อนเมฆ บางองค์ก็อาจจะประสงค์ที่จะให้ม้าออกลูกเป็นไข่ ส่วนวิญญาณที่ตายในแต่ละวันก็คงพิลึกแท้ คงมีคนที่ตายๆฟื้นๆวันละสิบรอบเพราะการต่อรองไม่ลงตัวระหว่างสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่าจะให้คนเป็นหรือตายดี วิญญาณบางตนโดนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตัวแรกกำหนดให้ตาย เลยลอบไปขอองค์ที่สองให้ยื้อชีวิตพร้อมวานให้กำราบองค์แรกให้หน่อยด้วยกระมัง แบบนี้ทวย เทพยดาคงเปิดสงครามบนสวรรค์เหมือนในนิยายภารตะ ส่วนเอกภาพในธรรมชาติคงไม่เป็นดังที่เห็นทุกวันนี้ ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มีอยู่ต่างรูปแบบในแต่ละดินแดนคงจะออกคำสั่งให้มนุษย์ฆ่าฟันกันเพื่อสัมปทานเอกสิทธิ์ในการบริหารโลกกระทั่งระบบธรรมชาติคงเกิดกลียุคขึ้น

ระบบธรรมชาติที่เป็นสากลและเอกภาพยืนยันอย่างดีว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ควบคุมปัจจัยยังชีพและธรรมชาติทั้งหมดมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น ซึ่งในภาษาของศาสนาอิสลามเรียกว่าพระผู้เป็นเจ้า พระองค์เป็นผู้ทรงอำนาจอันศักดิ์สิทธิ์ดลบันดาลทุกสิ่ง และพระองค์ปลอดพ้นจากการนั่งเทียนของมนุษย์ไม่สมประดีที่ต้องการจับพระองค์ลงศาลเจ้า แท่นบูชา ต้นไม้ หรือสรรพสิ่งด้อยค่าที่มนุษย์สร้างขึ้น ก็ในเมื่อพระองค์สร้างมนุษย์เสียเองแล้ว ทำไมกันเล่าถึงได้มีคนไม่สมประดีพาลเข้าใจว่าพระองค์จะต้องพึ่งพาอาศัยที่สิงสถิตจากมนุษย์ที่พระองค์สร้างอีกเล่า


(อ่านตอนที่ 4 คลิก)