[เนื้อหาที่ท่านกำลังอ่านแปลมาจากหนังสือเล่มเล็กเล่มหนึ่งที่ทรงคุณค่า เขียนโดย ชัยค์มุฮัมมัด บินอับดุลวะฮาบ ชื่อว่า มาซาอิลญาฮิลิยะฮ์ฯ ที่มีรายละเอียดเกี่ยวกับปัญหาต่างๆ ของหมู่ชนญาฮิละยะฮ์ และได้รับการอธิบายเพิ่มเติมจาก ชัยค์ศอลิฮ์ บินเฟาซาน อัลเฟาซาน ปราชญ์อาวุโสจากประเทสซาอุดิอารเบีย]
[โปรดอ่านตอนที่แล้ว] ส่วนคำว่าญาฮิลียะฮ์ เป้าหมายของคำ ๆ นี้ คือการพาดพิงไปสู่คำว่า ญะฮล์ (ความเขลา) ซึ่งคำว่าญะฮล์นั้นก็หมายถึงการไม่มีความรู้นั่นเอง และในส่วนของยุคญาฮิลียะฮ์ที่ไม่มีเราะซูลปรากฏตัวและไม่มีคัมภีร์ใดถูกประทานลงมา ความหมายของยุคดังกล่าวหมายถึง ยุคก่อนที่ท่านนบี ซ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม จะถูกส่งมา อัลลอฮ์ตะอาลาตรัสว่า
وَلَا تَبَرَّجْنَ تَبَرُّجَ الْجَاهِلِيَّةِ الْأُولَىٰ
ความว่า: “และพวกนางจงอย่าแต่งตัวอวดโฉมดังสภาพการแต่งตัวอวดโฉมของสตรีญาฮิลียะฮ์ยุคต้น” [ซูเราะฮ์ อัลอะฮ์ซาบ อายะฮ์ที่ 33]
หมายถึง ยุคก่อนที่ท่านนบี ซ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม จะถูกส่งมา เพราะว่ายุคก่อนที่ท่านนบี ซ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม จะถูกส่งมานั้น โลกทั้งหมดกำลังปั่นป่วนอยู่ในความหลงผิด การปฏิเสธศรัทธา และการเฉไฉออกจากแนวทาง เนื่องเพราะสาส์นต่าง ๆ ก่อนหน้านั้นได้ถูกทำให้ลบเลือนหายไป พวกยะฮูดได้เปลี่ยนแปลงแก้ไขคัมภีร์เตาร๊อตของพวกเขา และได้นำเอาความเชื่อที่เป็นกุฟร์ (การปฏิเสธศรัทธา) ต่าง ๆ และความหลงผิดเข้ามาใส่ในคัมภีร์ ทั้งนี้ยังรวมไปถึงสิ่งน่ารังเกียจทั้งหลายที่พวกเขาได้นำมันมาใส่เอาไว้ในเตาร็อตอีกด้วย
และเช่นเดียวกันพวกนะซอรอเองก็ได้เปลี่ยนแปลงคัมภีร์อินญีลของพวกเขาจากสิ่งเดิมที่เคยมีอยู่ในสมัยที่มันถูกประทานลงมาให้แก่มะซีฮ์ (นบีอีซา) อะลัยฮิศเศาะลาตุวัสสะลาม ซึ่งนั่นก็ด้วยกับการที่ชายคนหนึ่ง ที่ว่ากันว่าเขาชื่อบุลิซหรือไม่ก็ชาวิล ซึ่งเป็นคนยะฮูดที่แค้นเคืองต่อท่านเราะซูลุลลอฮ์ อีซา อะลัยฮิสสะลาม
โดยชายคนดังกล่าวนี้ได้ริเริ่มใช้เล่ห์กลแผนการในการทำลายศาสนาของมะซีฮ์ อะลัยฮิสสะลาม โดยการแสร้งแสดงตนว่าตนเองมีศรัทธาต่อมะซีฮ์ และเสียใจต่อเรื่องสมัยก่อนที่เคยแสดงตนเป็นศัตรูต่อมะซีฮ์ และยังอ้างอีกว่าเพราะเขาได้เห็นฝันฝันหนึ่ง จึงทำให้เขาศรัทธาต่อมะซีฮ์ และพวกนะซอรอก็เชื่อในคำพูดของเขา
ต่อมาเขาจึงได้เรียนรู้คัมภีร์อินญีลที่อัลลอฮ์ได้ทรงประทานมันลงมาให้แก่นบีอีซา และจึงได้เริ่มนำเอาความเชื่อเกี่ยวกับรูปปั้นรูปเจว็ดทั้งหลาย รวมไปถึงชิรก์และความเชื่อกุฟร์ต่าง ๆ เข้ามาใส่ในอินญีล โดยที่เขาก็ได้นำเอาความเชื่อเรื่องไตรภาคมาใส่ในอินญีล ความเชื่อดังกล่าวหมายถึงอัลลอฮ์นั้นเป็นภาคที่ 3 ของทั้ง 3 ภาค และนบีอีซานั้นคือบุตรของอัลลอฮ์ หรือไม่ก็คือพระองค์อัลลอฮ์เองด้วย
และเขายังนำเอาเรื่องการบูชาไม้กางเขนเข้ามาใส่ไว้อีกด้วย เขาได้นำเอาความเชื่อกุฟร์ที่น่ารังเกียจทั้งหลายเข้ามาใส่ในคัมภีร์ และพวกนะซอรอก็เชื่อเรื่องดังกล่าวของเขาเพราะมองว่าเขาเป็นผู้มีความรู้ และมองว่าเขาเป็นผู้ศรัทธา โดยพวกเขายังให้ฉายาเขาว่าเป็นเราะซูลบุลิซอีกด้วย ซึ่งหมายถึงเขาเป็นเราะซูลของท่านมะซีฮ์อีกทีหนึ่งตามการกล่าวอ้างของพวกเขา ทั้ง ๆ ที่เจตนาของเขาคนนั้นคือมาเพื่อทำลายศาสนาของมะซีฮ์ และเขาเองก็บรรลุในเป้าหมายของเขาเรียบร้อยแล้ว
แน่นอนว่าศาสนาของมะซีฮ์ได้ถูกทำลายจนย่อยยับ และความเชื่อเรื่องเจว็ดกับไตรภาคก็ได้ถูกนำเข้ามา รวมถึงความเชื่อที่ว่านบีอีซาเป็นบุตรของอัลลอฮ์ หรือความเชื่อที่ว่าอัลลอฮ์คือภาคที่ 3 ของทั้ง 3 ภาคของพระเจ้า เขาได้นำเอาความเชื่อเรื่องเจว็ดมากมายเข้ามาในศาสนา และพวกนะซอรอก็ได้ปฏิบัติตามเขาในเรื่องดังกล่าว
นี่คือสภาพของชาวอะฮ์ลุลกิตาบก่อนหน้าที่นั่นนบี ซ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม จะถูกส่งมา มีเพียงบางส่วนเท่านั้นที่ยังคงอยู่ในศาสนาเดิมที่ถูกต้อง (ไม่ได้ถูกเปลี่ยนแปลงจนไม่เหลือเค้าโครงเดิม) แต่ส่วนใหญ่ของพวกเขาก็อยู่บนศรัทธาที่เป็นกุฟร์และเฉไฉออกจากศาสนาของอัลลอฮ์ (ที่ประทานให้นบีอีซา)
ส่วนพวกอาหรับเองก็แตกออกเป็นกลุ่มคนสองประเภท คนกลุ่มประเภทแรกคือพวกที่ยึดตนปฏิบัติตามในศาสนาก่อน ๆ เช่น พวกยะฮูด พวกนะซอรอ และพวกมะญูซ ส่วนกลุ่มคนอีกประเภทหนึ่งก็ยึดถือตนอยู่ในศาสนา อัลฮะนีฟียะฮ์ ซึ่งเป็นศาสนาของนบีอิบรอฮีม อะลัยฮิสสะลาม แม้แต่ในแคว้นฮิญาซ ณ แผ่นดินมักกะฮ์อันทรงเกียรติก็เป็นเช่นนี้ จนกระทั่งว่าเมื่อชายคนหนึ่งได้ปรากฏตัวขึ้น
กล่าวกันว่าเขาชื่อ อัมร์ บินลุฮีย์ อัลคุซาอีย์ เขาเคยเป็นกษัตริย์แห่งแคว้นฮิญาซ ซึ่งเดิมทีเขาเป็นคนที่คงตนอยู่ในความสมถะและการอิบาดะฮ์ รวมถึงทำสิ่งที่ดี ๆ แต่แล้วเขาก็ได้เดินทางไปยังเมืองชามเพื่อรักษาตัว ที่นั่นเขาได้เห็นชาวเมืองชามทำการเคารพบูชารูปปั้นกัน จึงเกิดความคิดว่าการกระทำเช่นนั้นเป็นเรื่องที่ดีงาม เลยได้นำเอารูปปั้นรูปเจว็ดทั้งหลายจากเมืองชามกลับมากับเขาด้วย
เขาขุดเอารูปปั้นที่ถูกฝังอยู่ใต้พื้นดินหลังจากยุคของกลุ่มชนนบีนูฮ์ขึ้นมา รูปปั้นเหล่านั้นมีชื่อว่า วัด สุวาอ์ ยะฆูซ ยะอูก นัซร์ และอื่น ๆ จากนี้ ซึ่งก่อนหน้านี้เคยเกิดอุทกภัยขึ้นแล้วกลบพวกมันฝังจมลงผืนดินไป
แต่ชัยฏอนก็ได้มาบอกเขาถึงตำแหน่งที่มันถูกฝังอยู่ เขาจึงได้ไปขุดและเอาเจว็ดเหล่านั้นขึ้นมา พร้อมกับแจกพวกมันให้แก่บรรดาเผ่าต่าง ๆ และสั่งใช้ให้เคารพอิบาดะฮ์เจว็ดเหล่านั้น ซึ่งพวกอาหรับก็ตอบรับที่จะปฏิบัติสิ่งดังกล่าว ชิรก์จึงได้เข้ามาสู่แผ่นดินฮิญาซ และเมืองอื่น ๆ ในบ้านเมืองของชาวอาหรับ เขาได้เปลี่ยนแปลงศาสนาของนบีอิบรอฮีม อะลัยฮิสสลาม และได้ทำการปล่อยปศุสัตว์เพื่อถวายแด่เหล่าเจว็ด ด้วยเหตุเช่นนี้เอง ท่านนบี ซ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม จึงได้เห็น อัมร์ บินลุฮีย์ ลาก “กุศบ์” (หมายเหตุจากผู้แปล : กุศบ์ เป็นคำกว้าง ๆ ที่มีหลายความหมาย หนึ่งในนั้นคือลำไส้ ชัยค์จึงได้อธิบายเพิ่มว่าในหะดีษนี้คำว่ากุศบ์ หมายถึง ลำไส้) ของเขาอยู่ในนรก หมายถึง ลากลำไส้ของเขาอยู่ในนรก[1]
สถานการณ์ของโลกในยุคก่อนที่ท่านนบี ซ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม จะถูกส่งมานั้น ได้ตกอยู่ในความหลงผิดอย่างชัดแจ้ง ทั้งพวกอะฮ์ลุลกิตาบ พวกอุมมีย์ รวมถึงกลุ่มชนอื่น ๆ ที่อยู่บนหน้าแผ่นดินด้วย ยกเว้นอะฮ์ลุลกิตาบบางส่วนเท่านั้นที่ยังคงอยู่บนศาสนาที่แท้จริง แต่สุดท้ายพวกเขาก็สุญสิ้นไปก่อนหน้าที่ท่านนบี ซ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม จะถูกส่งมา เงาที่มืดมิดจึงกลับกลายมาปกคลุมทั่วผืนดิน มีปรากฏอยู่ในหะดีษว่า :
إن الله نظر إلى أهل الأرض فمقتهم عربهم وعجمهم إلا بقايا من أهل الكتاب
ความว่า: “อัลลอฮ์ทรงมองลงมายังมนุษย์โลก และพระองค์ทรงพิโรธพวกเขายิ่ง ทั้งกลุ่มชนที่เป็นอาหรับและกลุ่มชนที่ไม่ใช่อาหรับ ยกเว้นชาวอะฮ์ลุลกิตาบบางส่วน (ที่ยังอยู่ในศาสนาที่ถูกต้อง) เท่านั้นที่ไม่ถูกโกรธกริ้ว”
ภายใต้เงาที่ปกคลุมมืดมิดเช่นนี้ และในสภาพของความโง่เขลา (ญาฮิลียะฮ์) ที่หนักหน่วง หนทางทั้งหลายถูกลบเลือนไปพร้อมกับบทเรียนและร่องรอยต่าง ๆ ที่เคยปรากฏอยู่ในคัมภีร์จากฟากฟ้าก่อนหน้านี้ อัลลอฮ์ได้ทรงส่งนบีมุฮัมมัด ซ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ของพระองค์ลงมาเพื่อปลดปล่อยมวลมนุษย์ออกจากความมืดไปสู่แสงสว่าง ดังที่อัลลอฮ์ตะอาลาทรงตรัสว่า
لَقَدْ مَنَّ اللَّهُ عَلَى الْمُؤْمِنِينَ إِذْ بَعَثَ فِيهِمْ رَسُولًا مِّنْ أَنفُسِهِمْ يَتْلُو عَلَيْهِمْ آيَاتِهِ وَيُزَكِّيهِمْ وَيُعَلِّمُهُمُ الْكِتَابَ وَالْحِكْمَةَ وَإِن كَانُوا مِن قَبْلُ لَفِي ضَلَالٍ مُّبِينٍ
ความว่า: “แน่แท้ว่าอัลลอฮ์ทรงประทานความโปรดปรานแก่บรรดาผู้ศรัทธา โดยที่พระองค์ทรงส่งเราะซูลมายังพวกเขาซึ่งเป็นคนจากหมู่ชนของพวกเขาเอง เขาได้มาอ่านโองการของพระองค์ให้แก่พวกเขา มาขัดเกลาพวกเขา และมาสอนคัมภีร์กับฮิกมะฮ์ให้แก่พวกเขา แม้ว่าก่อนหน้านี้พวกเขาจะจมอยู่ในความหลงผิดที่ชัดแจ้งก็ตาม” [ซูเราะฮ์ อาล อิมรอน อายะฮ์ที่ 164]
คำว่า “ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้” หมายถึง ก่อนหน้าที่ท่านนบี ซ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม จะถูกส่งมา
(อ่านตอนที่ 3 คลิก)
[1] มีรายงานยืนยันจากท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ถึงเรื่องนี้ ท่านเราะซูล ซ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมกล่าวว่า : ฉันได้เห็นอัมร์ บินอามิร บินลุฮีย์ อัลคุซาอีย์ ลากไส้ตนเองอยู่ในนรก ซึ่งเขาคือบุคคลผู้แรกที่ทำการปล่อยปศุสัตว์ถวายแก่บรรดารูปเจว็ด