(ทบทวนตอนที่ 1 คลิก , ตอนที่ 2 คลิก , ตอนที่ 3 คลิก และตอนที่ 4 คลิก)
ง. ระบบการบริหารจักรวาล
มีคำพูดหนึ่งกล่าวกันว่า การค้นพบทางวิทยาศาสตร์ มิได้หักล้างการดำรงอยู่ของพระเจ้าแต่อย่างใด กลับกันวิทยาศาสตร์เพียงแค่บอกให้เราทราบว่าพระองค์บริหารจักรวาลของพระองค์ “อย่างไร” เท่านั้น! กล่าวคือ การค้นพบทางวิทยาศาสตร์ทำให้เรารู้ว่าจักรวาลเป็นเบี้ยล่างที่ทำงานตามคำสั่งของพระเจ้ามากขนาดไหน
สังคมทั่วไปมักเข้าใจผิดว่าการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการค้นพบกฎแรงโน้มถ่วง (gravitational theory) ของนิวตัน (Sir Isaac Newton 1643 –1727 CE) ทำให้พระเจ้าถูกขับออกไปจากจิตใจของมนุษย์ นี่เป็นข้อสรุปที่เหลวไหลมากที่สุดประการหนึ่ง
การค้นพบกลไกการทำงานภายในธรรมชาติไม่สามารถหักล้างการสร้างสรรค์ของพระเจ้าไปได้เลย หนำซ้ำการค้นพบอันก้าวหน้าที่ทำให้มนุษย์ต่างตะลึงในระบบการทำงานอันซับซ้อนของธรรมชาติกลับสร้างความกระหายที่จะแสวงหาเบื้องหลังงานสร้างอันตระการตานี้ขึ้นกว่าเก่าด้วยซ้ำ
อุปมาได้กับการที่ชายคนหนึ่งมีนาฬิกาใช้สอยติดตัวมาตั้งแต่เด็ก ทว่าเมื่อวันหนึ่งเขาได้รู้จักกลไกการทำงานอันแยบยลของนาฬิกาแล้ว มันมิได้หมายความว่าการค้นพบกลไกของนาฬิกาจะทำให้ชายผู้นี้เกิดข้อสรุปว่าโลกนี้ไม่มีผู้สร้างนาฬิกา ไม่มีแม้กระทั่งกาลิเลโอ (Galileo Galilei 1564-1642 CE) ที่คิดค้นระบบนาฬิกาขึ้นมา!
เป็นไปได้อย่างไรกันที่บรรดานักวิทยาศาสตร์ต่างให้ข้อสรุปแปลกประหลาดเช่นนี้ขึ้นได้ การค้นพบกลไกการทำงานของนาฬิกาจะช่วยทำให้เรารับทราบถึงช่างนาฬิกาที่มีความชาญฉลาดล้ำเลิศจนสามารถคิดค้นระบบการทำงานของเฟืองได้
สากลจักรวาลที่เราอาศัยอยู่มีระบบการทำงานอันซับซ้อนมาก ทุกวันนี้ภายในประเทศเล็กๆ มนุษย์พยายามสร้างการบริหารงานให้เกิดความเป็นเอกภาพขึ้น กระนั้นก็ดีความบกพร่องจำนวนมากก็ยังปรากฏในระบบที่ถูกวางไว้
ขอให้เราพิจารณาไปยังท้องถนนอันมีมลภาวะจำนวนมากดูเถิด ทุกวันนี้แม้รัฐบาลพยายามตั้งระบบการโดยสารที่รัดกุมเพียงใดอุบัติเหตุก็เกิดขึ้นไม่ว่างเว้นแต่ละวัน จะเป็นไปได้ไหมหากข้าฯ จะสรุปว่ารถยนต์ที่โดยสารไปมาในท้องถนนนั้นปราศจากคนขับ ปราศจากคนควบคุม สัญญาณไฟแดงทำงานด้วยตัวของมันเอง
แน่นอนว่าข้อสรุปเช่นนี้เป็นเรื่องประสาทเสียแน่หากใครได้สดับฟัง เพราะแม้แต่ท้องถนนที่ถูกวางระบบไว้อย่างดียังหลีกเลี่ยงจากอุบัติเหตุและความบกพร่องไม่ได้ด้วยซ้ำ หากทุกคนที่โดยสารด้วยรถยนต์ในท้องถนนอยู่ในอาการมึนเมาทั้งหมดถามว่าจะเกิดอะไร คำถามนี้ไม่จำเป็นต้องตอบเพราะคนไทยรับทราบเรื่องน่าละอายเหล่านี้ดีกว่าใครอยู่แล้ว แต่จะเกิดอะไรขึ้นเล่าหากรถยนต์สามารถแล่นไปเองด้วยความบังเอิญ? จะเกิดการชน หรือจะเป็นระเบียบเทียบเท่ากับการโดยสารในยามปกติของมนุษย์?
เราได้ข้อสรุปจากการอภิปรายเรื่องนี้ว่า
๑) มันไม่มีความเป็นไปได้เลยที่รถยนต์จะโดยสารไปมาตามวิถีทางของตัวเองปราศจากคนขับ เนื่องจากรถยนต์เป็นสิ่งที่ไม่มีมันสมองอันชาญฉลาด ไม่มีชีวิตที่จะรับรู้เป้าหมายหรือหน้าที่ของตนเองได้
๒) ความสงบเรียบร้อยในภาพรวมบนท้องถนนเกิดขึ้นจากการที่รัฐบาลมีการวางระบบการคมนาคม ทั้งการทำถนน การออกกฎหมายจราจรเพื่อควบคุมพฤติกรรมผู้ขับ การวางระบบสัญญาณไฟแดง แม้ว่าการวางระบบเหล่านี้จะไม่สามารถหลีกเลี่ยงความบกพร่องและสารพัดอุบัติเหตุได้ ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้หากใครจะสรุปผลว่าความมีระเบียบในท้องถนนเช่นนี้ล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นจากความบังเอิญ ไม่มีผู้วางระบบไว้
ประสบการณ์และสามัญสำนึกของมนุษย์น้อมรับต่อข้อสรุปทั้งสองได้เป็นอย่างดี เชื่อได้เลยว่าไม่มีใครบนโลกใบนี้สามารถปฏิเสธข้อเท็จจริงส่วนนี้ได้ อย่างไรก็ตามเรากลับพบความแปลกประหลาดเมื่อผู้ปฏิเสธพระเจ้าทั่วโลกต่างลงความเห็นเป็นมติเอกฉันท์ว่า
๑) การโคจรของดวงดาวนับล้านดวงในกาแล็กซี่เป็นไปโดยที่ไม่มีผู้ควบคุม ดวงอาทิตย์และดาวนับล้านดวงโคจรตามเส้นทางของมันนับล้านปีอย่างสมบูรณ์แบบโดยปราศจากผู้ควบคุม(เสมือนรถที่ปราศจากคนขับ)
๒) ระบบในจักรวาลที่เป็นเอกภาพสอดประสานลงตัวจนดาวนับล้านดวงไม่เคยล้ำไปจากวิถีโคจรของตนเอง ระบบเช่นนี้เกิดขึ้นได้ด้วยความบังเอิญ!
นี่คือสิ่งที่วิทยาศาสตร์สมัยใหม่ให้คำตอบแก่มนุษย์! เมื่อเราถามนักวิทยาศาสตร์ว่าอะไรคือปัจจัยที่อยู่เบื้องหลังการทำงานของระบบสุริยจักรวาลทั้งหมด เขาก็จะตอบเรามาว่า “กฎฟิสิกส์” ! ทั้งที่คำตอบเช่นนี้ไม่ต่างอะไรกับการพูดว่า พระราชบัญญัติว่าด้วยการคมนาคมบนท้องถนน คือผู้อยู่เบื้องหลังการโดยสารรถยนต์และระบบความปลอดภัยทั้งหมด มนุษย์ไม่ เกี่ยว!
คัมภีร์อัลกุรอานให้ความสำคัญกับการค้นคว้าทางด้านดาราศาสตร์ไว้มาก นับเป็นเรื่องที่น่าเศร้าใจยิ่งนักที่ประชาชาติซึ่งครอบครองคัมภีร์อันล้ำค่านี้กลับเฉื่อยชาในการค้นคว้าถึงมหกรรมงานสร้างที่พระองค์ทรงรังสรรค์ขึ้นมา
ส่วนหนึ่งมาจากความหมกมุ่นของคณะนอกคอกทั้งหลายไม่ว่าจะเป็น ญะฮฺมียะฮฺ และอะชาอิเราะฮฺกุลลาบียะฮฺ ฯลฯ ที่มัวแต่ใช้สมองสิ้นเปลืองไปกับการเข้าถึงอาตมัน (ตัวตน) ของพระผู้เป็นเจ้าอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง
ทั้งที่พระองค์ได้ทรงสั่งห้ามปวงบ่วงทั้งหลายจากสิ่งนั้นไว้ ผลจากความตกต่ำที่เกิดขึ้นจากน้ำมือของคนกลุ่มนี้พลอยทำให้การค้นคว้าทางด้านดาราศาสตร์สูญสลายลงไปในพริบตาเหลือไว้เพียงตำราปรัชญาเพ้อเจ้อที่คณะเหล่านี้สืบสานไว้แก่อนุชน
พระองค์อัลเลาะฮฺได้ทรงเน้นย้ำไว้ในหลายจุดของอัลกุรอานให้มนุษย์พินิจสิ่งรอบกายเราว่ามันถูกดลบันดาลและบริหารภายใต้อำนาจของพระเจ้าอย่างไร (10:31-34,23:78-80) การเรียกร้องเหล่านี้เป็นการท้าทายให้พวกเขาแสวงหาคำตอบภายใต้ตัวเลือกที่ผูกรัดแค่สองประการเท่านั้น คือมันถูกสร้างขึ้นมาหรือบังเกิดขึ้นจากความบังเอิญ
ทั้งนี้อัลกุรอานได้พยายามชี้นำมนุษย์ให้ตระหนักว่าในจักรวาลนี้มีดาวเคราะห์สุดคณานับซึ่งพวกมันโคจรไปตามจักรราศีของมันและปราศจากการก้าวก่ายจักรราศีอื่นที่ไม่ใช่วิถีโคจรของตนเอง (36:38-40) ทรงประดับฟากฟ้าด้วยหมู่ดาวทั้งหลายอย่างเป็นระบบ (37:6, 50:6, 67:3) สรรพสิ่งที่พระองค์สร้างขึ้นมาก็เพื่อให้มันเป็นหลักฐานในการมีอยู่ของพระองค์ทั้งยังมีคุณอนันต์สำหรับสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย (22:65,31:20,45:13)
เช่นมนุษย์ใช้หมู่ดาวที่พระองค์สร้างขึ้นเป็นเครื่องมือในการคำนวณ (10:5,17:12) และใช้ในการดูทิศทางเพื่อการสัญจร (6:97) การบริหารจักรวาลของพระองค์จึงมิใช่เรื่องของความบังเอิญ (30:8,39:5) ภายในจักรวาลมีระบบของการสับเปลี่ยนเป็นกลางวันและกลางคืน (3:27, 24:44, 25:62) ทรงให้มีเงาวัดการโคจร (16:48) ทรงให้มีแรงดึงดูด (77:25) ดาวเคราะห์ทั้งหลายจึงมีแรงถ่วงต่อกันเพื่อความสมดุลในการโคจร (55:7) ให้มีน้ำขึ้นน้ำลง (67:30) มนุษย์เองสามารถดำรงชีพโดยอาศัยอากาศที่พระองค์สร้างไว้ใช้หายใจ (6:126)
การบันดาลบริหารจักรวาลของพระองค์มิได้ทำให้พระองค์ทรงมีความเหนื่อยล้าใดๆ เลยการบริหารจักรวาลจึงดำเนินไปด้วยอำนาจของพระองค์ตลอดเวลาไม่มีหยุด (55:29) พระองค์ทรงรอบรู้ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีสิ่งใดรอดพ้นไปจากความรอบรู้ของพระองค์ได้ (10:61) โดยที่พระองค์ใช้ความรอบรู้ของพระองค์ลิขิตจักรวาลให้เป็นไปตามวิถีของมัน ไม่มีการอาศัยฤกษ์ยามดังมนุษย์ที่ปราศจากความรอบรู้ต้องคอยพึ่งพาสิ่งอื่น (25:2)
ฉะนั้นผู้ที่ไตร่ตรองการสร้างของพระองค์จนถึงแก่นแท้แล้ว จะกลายเป็นปัญญาชนพร้อมอุทานขึ้นเป็นพยานต่อพระองค์ว่าสิ่งนี้มิใช่เรื่องไร้สาระ หากแต่เป็นประจักษ์พยานสะท้อนพระเดชานุภาพและปรีชาญาณของพระองค์อัลเลาะฮฺอย่างแท้จริง (3:189-190)
เราได้กล่าวไปแล้วว่ามนุษย์เองเป็นสิ่งถูกสร้างที่มีความซับซ้อนมากยิ่งนักจนยากเกินกว่าที่ใครจะหลงคิดว่ามนุษย์มีขึ้นมาจากความบังเอิญ แต่กระนั้นก็ตามการสามหาวว่าจักรวาลมีขึ้นมาด้วยความบังเอิญหรือปราศจากผู้สร้างย่อมเป็นเรื่องมดเท็จมิใช่วิสัยของคนที่ใช้ปัญญา เพราะการบันดาลบริหารจักรวาลนั้นมีความยิ่งใหญ่กว่าการกำเนิดมนุษย์เสียอีก (40:57, 79:27)
พระองค์เพียงแต่เมตตามนุษย์ให้มนุษย์ปกครองปฐพีนี้และอาศัยทรัพยากรธรรมชาติมาอำนวยประโยชน์คุณแก่มวลมนุษย์ด้วยกัน (2:30, 6:165, 7:128, 21:105, 27:62, 35:39) การสร้างจักรวาลและสิ่งมีชีวิตขึ้นรอบกายมนุษย์นอกจากเพื่ออำนวยความสะดวกแล้ว พระองค์ยังประสงค์ให้มนุษย์ศึกษาความเป็นไปต่างๆ (14:33-34) ให้เกิดการรับรู้ต่อพระผู้สร้างและพึงสังวร ถึงความตายที่จะมีการสอบสวนติดตามมา มิใช่สักแต่คิดตื้นๆ ว่ามนุษย์เกิดแก่เจ็บตายไม่มีอะไรแล้วหลังจากนั้น การคิดแบบนี้มิใช่วิสัยของปัญญาชน (23:115) และเวลาก็มิใช่สิ่งที่คร่าชีวิตมนุษย์ดังที่พวกแต่เก่าก่อนได้เคยสามหาวด้วยอวิชชามาแล้ว (45:24)
ที่กล่าวไปทั้งหมดเป็นการอภิปรายถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าที่มุสลิมและมนุษยชาติจำต้องคำนึงถึง สรรพสิ่งรอบกายมนุษย์เป็นประจักษ์พยานยืนยันการมีอยู่ของพระองค์อัลเลาะฮฺ พระผู้ทรงบริหารบันดาลจักรวาล ภายในจักรวาลนี้มีแต่ความสมดุลไม่มีรอยรั่วอันใดที่สะท้อนให้เห็นความบกพร่องเลยด้วยซ้ำ พระองค์ทรงดำรัสว่า
“พวกเขามิได้มองไปยังฟากฟ้าเหนือพวกเขาดอกหรือว่าเราได้สร้างมันและประดับมันไว้อย่างไร และมันไม่มีรอยร้าวหรือช่องโหว่เลย” (50:6)
“พระผู้ทรงสร้างชั้นฟ้าทั้งเจ็ดเป็นชั้นๆ เจ้าจะไม่เห็นแต่อย่างใดในความไม่ได้สัดส่วนในการสร้างของพระผู้ทรงกรุณาปราณี ดังนั้นเจ้าจงหันกลับมามองดูซิ เจ้าเห็นรอยร้าวหรือช่องโหว่บ้างไหม ?” (67:3)
ความจริงแล้ว การที่สิ่งหนึ่งมีความบกพร่องภายในตัวของมันอยู่ เราเองก็ยังตระหนักดีว่ามันมีผู้สร้างสิ่งเหล่านั้นขึ้นหากแต่ผู้สร้างยังมีความบกพร่องในการรังสรรค์ขึ้นมา ไม่มีใครเคยคิดว่าศิลปะชั้นแย่จะบังเกิดขึ้นมาด้วยตนเองนอกจากการก่นด่าผู้สร้างว่าไร้น้ำยาด้วยซ้ำไป
แต่นี่คือสากลจักรวาลที่อุดมไปด้วยสรรพสิ่งหลากรูปแบบ แต่กลับปราศจากความบกพร่องเลยด้วยซ้ำ เหตุใดกันเล่าปัญญาของมนุษย์ถึงได้คิดว่ามันอุบัติขึ้นเอง ในชั้นฟ้าจะมีอุกกาบาตพุ่งตรงมายังโลกอยู่บ่อยครั้ง อานุภาพของมันทำลายโลกเป็นจุลได้อย่างสบายๆแต่โลกได้รับการปกป้องจากชั้นบรรยากาศจนกระทั่งอุกกาบาตเหล่านั้นสลายตัวลงไปก่อนจะสัมผัสผิวโลกทั้งยังสร้างประโยชน์แก่มนุษย์อีกด้วยในขณะเดียวกัน ความบังเอิญอันใดเล่าถึงได้บันดาลให้สิ่งที่มีอยู่ในจักรวาลจัดสรรความสมดุลได้อย่างสมบูรณ์แบบถึงเพียงนี้?